Page 66 - 049
P. 66
52
ุ
ุ
ุ
ื
2. ความขัดแย้งอาจเกิดข้นเมอบคคลหรอกล่มแสวงหาทางทจะควบคมกิจกรรม งาน
ึ
ี่
ื่
ี
ึ
ื
ิ
ื่
็
ื
หรออ านาจ ซงเปนสมบัตของคนอนหรอกล่มอน ความขัดแย้งน้เปนผลมาจากการก้าวก่ายในงาน
่
ื่
็
ุ
หรออ านาจหน้าทของผู้อน
ื่
ี่
ื
ื่
ึ
ุ
ี่
ื
ุ
3. ความขัดแย้งอาจเกิดข้นเมอบคคลหรอกล่ม ไม่สามารถทจะตกลงกันได้ เกี่ยวกับ
ี่
้
ื
เปาหมายหรอวิธการในการท างาน ต่างคนต่างก็มเปาหมายและวิธการทแตกต่าง และเปาหมายหรอ
ี
ี
้
้
ี
ื
็
วิธการต่าง ๆ นั้นเปนส่งทไปด้วยกันไม่ได้
ิ
ี่
ี
ิ
ิ
ิ
ธรรมชาตของความขัดแย้งเปนส่งทผู้บรหารต้องเผชญหน้าอยู่ทกวัน ผู้บรหารไม่
ิ
ี่
ิ
ุ
็
ึ
ุ
ี
สามารถท าเปนไม่สนใจหรอละเลยเสยได้ และไม่สามารถปล่อยให้เกิดมากข้นและรนแรงข้นได้
ึ
็
ื
ู
ิ
โดยไม่จัดการแก้ไข ผู้บรหารระดับสงและระดับกลาง จะต้องใช้เวลาประมาณ 20% ของเวลาใน
ี่
็
การบรหารงานทั้งหมดเพื่อจัดการกับความขัดแย้ง การบรหารความขัดแย้งจงเปนเปนภารกิจทยาก
็
ึ
ิ
ิ
็
ี่
็
ิ
ุ
ทสดอย่างหนงของผู้บรหารทจ าเปนต้องด าเนนการให้องค์กรสามารถบรรลผลส าเรจได้ตาม
ี่
ึ
ุ
ิ
่
ึ
เปาหมายทได้ก าหนดข้น โดยไม่สามารถเลอกได้ว่าจะต้องท างานกับใครจะชอบหรอไม่ชอบก็ตาม
้
ื
ี่
ื
ี
ื่
ิ
์
็
(พรนพ พุกกะพันธ, 2542 ) ผู้บรหารหลายคนมความเชอว่าความขัดแย้งเปนส่งเลวราย เปนตัวสกัด
็
้
ิ
ิ
ี่
ิ
กั้นความเจรญก้าวหน้าและเปนตัวท าลายองค์กร จงพยายามปดบังทกวิถทางทจะไม่ให้คนอนทราบ
ุ
ื่
ึ
็
ี
ี
ิ
ี่
ว่าหน่วยงานของตนมความขัดแย้ง แท้ทจรงแล้วความขัดแย้งมใช่ตัวการทก่อให้เกิดความสับสน
ี่
ิ
ี
อลหม่านหรอเกิดความหายนะแก่องค์กร แต่เกิดจากวิธการทไม่มประสทธภาพในการแก้ไขข้อ
ิ
ื
ี
ี่
ิ
ี
ิ
ี
ื
ี
ี่
้
ู
็
ี่
ี
ี่
ิ
ขัดแย้งต่างหาก แม้ว่าความขัดแย้งจะเปนส่งทหลกเลยงไม่ได้ แต่ถ้ารจักวิธบรหารหรอวิธแก้ไขทดก็
้
็
ื่
ี
้
ุ
็
จะกลายเปนการให้คณประโยชน์อกด้วย เช่น ช่วยปองกันความเฉอยชา ช่วยท าให้เหนเปาหมาย
ึ
็
ุ
ุ
้
ชัดเจนข้น ช่วยกระต้นความสนใจและความอยากรอยากเหนของบคคลเปนพื้นฐานท าให้เกิดการ
็
ู
ุ
ิ
ี่
เปลยนแปลงของบคคลและสังคมเปนต้น การเกิดความขัดแย้งมได้หมายความว่า หน่วยงาน
็
ล้มเหลวหรอการบรหารล้มเหลว ความขัดแย้งเปนเครองช้บ่งว่าองค์กรมปญหา ถ้าหากผู้บรหารไม่
ั
ี
ี
็
ิ
ื่
ื
ิ
ิ
ื
สนใจความขัดแย้ง ปดบังหรออ าพรางความขัดแย้ง ก็เท่ากับการไปปองกันหรอสกัดกั้นไม่ให้ได้รบ
ั
้
ื
ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ทจ าเปนในการบรหารงานต่อไป (เสรมศักด์ วิศาลาภรณ, 2540) ดังนั้น
็
ิ
ิ
์
ี่
ิ
ี่
ิ
ผู้บรหารจะต้องเรยนรและต้องเข้าใจว่า ความขัดแย้งทเกิดข้นไม่สามารถหลกเลยงได้และธรรมชาต ิ
ี
ี
ู
ึ
้
ี่
้
ู
ึ
็
ี่
ของความขัดแย้งสามารถเกิดข้นได้เสมอ และก็ไม่ใช่จะเปนส่งทเลวราย หากรจักวิธทจะแก้ไข
ิ
ี่
ี
้
ประเภทของความขัดแยง
้
ี่
ึ
ื่
ผู้ทศกษาเรองความขัดแย้งได้จ าแนกประเภทของความขัดแย้งไว้อย่างหลากหลาย
ุ
็
ึ
ี่
ข้นอยู่กับว่าผู้ทศกษาจะยึดอะไรเปนหลักในการจ าแนก แต่ถ้าจะสรปประเภทของความขัดแย้งท ี่
ึ
ิ
ี
ส าคัญจะได้ดังน้ (มหาวิทยาลัยสโขทัยธรรมาธราช, 2544)
ุ