Page 61 - 049
P. 61
47
ิ
ี่
็
็
3. Integrationist View เปนทรรศนะใหม่ทกลับเหนว่าความขัดแย้งมใช่เพียงแต่อาจ
ึ
ก่อให้เกิดผลบวกเท่านั้น แต่ยังเหนความขัดแย้งเปนความจ าเปนต้องให้เกิดข้น (Absolutely
็
็
็
ี
Necessary) เพื่อให้กล่มท างานได้อย่างมประสทธผล
ิ
ิ
ุ
ึ
่
ิ
ซงสอดคล้องกับแนวคดของ เสนาะ ตเยาว์ (2546) ได้ให้แนวคดเกี่ยวกับความขัดแย้ง
ิ
ิ
ิ
ไว้ 3 แนวคด ดังน้ ี
ิ
ี
ึ
ิ
็
ื
1. ทัศนะแบบดังเดม (Traditional View) ถอว่าความขัดแย้งเปนส่งไม่ดจงใช้ค าว่า
่
ึ
ุ
็
ื
ี
ิ
ความรนแรง การท าลายหรอความไม่มเหตผล ซงเปนเรองต้องหลกเลยงหรอปกปดไว้ไม่ให้คนร ู ้
ื
ื่
ุ
ี่
ี่
ี
ี่
็
ึ
ี
หากคนรจะเสยหายและมองคนทก่อให้เกิดความขัดแย้งข้นเปนคนไม่ด เพราะการขัดแย้งท าให้คน
้
ู
ิ
ู
ไม่ตดต่อกัน ขาดความไว้วางใจกัน และน าไปส่การล้มเหลวในการท างาน หนทางในการแก้ไข
ความขัดแย้งจะต้องพิจารณาทสาเหตของความขัดแย้งและแก้ไขเพื่อไม่ให้ไปกระทบผลการ
ุ
ี่
ปฏบัตงานของคนและองค์กร
ิ
ิ
ี่
ื
์
็
ุ
ื่
2. ทัศนะทางด้านมนษยสัมพันธ (Human Relation View) ถอเปนเรองธรรมดาทต้อง
ึ
ี่
เกิดข้นกับทกกล่มและทกองค์กร ไม่สามารถหลกเลยงได้เพียงแต่ว่าจะช้าหรอเรวเท่านั้น ดังนั้น
ื
ุ
ี
ุ
็
ุ
ั
่
ุ
ุ
ิ
มนษย์จะต้องยอมรบ ซงไม่สามารถจะขจัดให้หมดไปได้ แต่จะส่งผลดต่อการปฏบัตงานของกล่ม
ิ
ี
ึ
และองค์กร
ั
ื
3. ทัศนะปจจัยส่งผลกระทบซงกันและกัน (Integrationist View) โดยถอว่าจะต้อง
ึ
่
ื่
ี่
ิ
ส่งเสริมให้เกิดความขัดแย้งข้นเพราะจะท าให้คนตนตัว ตอบสนองต่อการเปลยนแปลงและการรเร่ม
ึ
ิ
ื่
ี
ึ
ใหม่ๆ อันจะท าให้องค์กรก้าวหน้า หากไม่มความขัดแย้งเกิดข้นจะท าให้คนเฉอยชา เฉยเมย ขาด
ความกระตอรอรน สงบเงยบ ดังนั้น แนวคดน้จงส่งเสรมให้เกิดความขัดแย้งในระดับหนง เพื่อท า
ื
ิ
่
ึ
ี
ิ
ี
้
ื
ึ
ี
ี่
ึ
ี
้
ิ
ให้คนและกล่มมความคดรเร่มสรางสรรค์เปลยนแปลงทดข้น และรจักการคดพินจพิเคราะห
ิ
ิ
้
ู
ิ
ี่
ุ
์
ิ
แนวคดทัศนะความขัดแย้งแบบดั้งเดมให้หลกเลยง โดยเหนความขัดแย้งเปนของไม่ด ี
็
ี่
ิ
ี
็
ิ
็
ุ
ิ
ุ
แนวคดความขัดแย้งทางด้านมนษย์สัมพันธ การขัดแย้งเปนเรองธรรมชาตของมนษย์ ให้ยอมรบ
ื่
ั
ิ
์
็
ี
ิ
่
ึ
ั
ความขัดแย้งและส่งผลดต่อคนและองค์กร ส่วนแนวความคดขัดแย้งเปนปจจัยส่งผลกระทบซงกัน
และกันนั้น ส่งเสรมให้เกิดความขัดแย้งในกล่มและองค์กร เพราะจะท าให้เกิดการรเร่มและ
ิ
ุ
ิ
ิ
่
ิ
็
ี
ึ
ี่
้
ึ
เปลยนแปลงให้ก้าวหน้าข้น เปนความขัดแย้งเชงสรางสรรค์และอกประเภทหนงเปนความขัดแย้ง
็
ื่
ั
ิ
ั
ในลักษณะท าลาย จะต้องหาเหตผลท าให้หมดไป ส าหรบแนวคดปจจบันนั้น เชอว่า ความขัดแย้ง
ุ
ุ
็
ิ
็
็
ิ
ึ
ี่
เปนส่งทเกิดข้นตามธรรมชาตในองค์กร ความขัดแย้งไม่จ าเปนต้องเลวรายเสมอไป แต่อาจเปน
้
ิ
ี่
ิ
็
ี่
ี่
ศักยภาพทจะเปนพลังทางบวกทส่งเสรมการปฏบัตงานของกล่ม องค์กรทปราศจากความขัดแย้งจะ
ิ
ุ
ุ
ิ
หยุดอยู่กับทเฉอยชา (มหาวิทยาลัยสโขทัยธรรมมาธราช, 2544)
ื่
ี่