Page 59 - 049
P. 59
45
ุ
ื่
ุ
ู
็
์
12. การแสดงสัญลักษณของกล่มยิ่งมากเท่าใดความเปนศัตรกับกล่มอนย่อมเพิ่มมาก
ข้น
ึ
้
่
์
ู
13. ความขัดแย้งระหว่างฝายต่างๆ จะน าไปส่การขยายความสัมพันธ การสราง
ึ
ิ
บรรทัดฐานอย่างใหม่และยืนยันบรรทัดฐานเดม รวมถงการเพิ่มการมส่วนร่วมของสมาชกในสังคม
ี
ิ
ุ
ี
14. ความขัดแย้งระหว่างกล่มบางคร้งเปนการกระท าทปรารถนาให้อกกล่มรวมตัวกัน
ี่
ั
ุ
็
็
15. ความขัดแย้งเปนการทดสอบอ านาจ
ู
ิ
16. ความขัดแย้งน าไปส่กระบวนการรวมตัวกัน และแสวงหาพันธมตร
(พรนพ พุกกะพันธ, 2542)
์
ี
ี
ิ
ี่
นอกจากน้ Robbins (1990) ได้ให้แนวคดเกี่ยวกับความขัดแย้งทมลักษณะคล้ายกัน ไว้
ื
3 ประการ คอ
ื่
1. แนวคดแบบดั้งเดม หรอประเพณนยม (The Traditional View) ซงเชอว่า
ี
ิ
ิ
ึ
่
ื
ิ
ู
ี
ี
ื
ิ
็
ิ
ความขัดแย้งเปนส่งเลวรายหรอไม่มข้อดเลย และจะน าไปส่การท าลายประสทธผลขององค์กร เปน
็
ิ
้
ิ
ิ
บ่อเกิดการท าลายซงกันและกัน ควรก าจัดให้หมดส้นไป แนวคดน้มอทธพลอยู่ในช่วงป ค.ศ.
ี
ี
ี
ิ
ึ
ิ
่
1930-1948
2. แนวพฤตกรรมศาสตร (The Behavioral View) เชอว่า ความขัดแย้งเปนปรากฎการณ ์
ื่
ิ
์
็
ั
ี
ุ
ิ
ี
็
ิ
ี่
ี่
ธรรมชาตในองค์กร เปนส่งทไม่สามารถหลกเลยงได้ ทกคนควรยอมรบ องค์กรทั้งหลายมรากฐาน
อยู่บนความขัดแย้ง และเชอว่าความขัดแย้งทั้งหลายไม่ได้เปนส่งเลวรายเสมอไป แนวความคดน้ม ี
ื่
็
้
ิ
ิ
ี
ิ
อิทธพลอยู่ในช่วงป ค.ศ. 1948-1975
ี
ิ
ี่
ิ
็
3. แนวปฏสัมพันธ (The Interactionist View) เชอว่าความขัดแย้งเปนส่งทจ าเปนท ี่
็
ื่
์
ี
จะต้องให้เกิด องค์กรจะปราศจากความขัดแย้งไม่ได้ เพราะองค์กรทมแต่ความปรองดองกัน เต็มไป
ี่
ี
ิ
ด้วยสันตภาพ ความสงบราบรน และร่วมมอเพียงอย่างเดยว จะท าให้องค์กรมลักษณะหยุดน่ง
ิ
ี
ื่
ื
ึ
็
ี่
็
้
เฉอยชา ไม่สนองตอบต่อการเปลยนแปลงและสรางสรรค์ส่งใหม่ๆ ความขัดแย้งจงเปนส่งจ าเปน
ิ
ื่
ิ
ิ
ุ
ื
ึ
ุ
ี
ิ
ี
ั
ี
ิ
และมคณค่าต่อหน่วยงานหรอองค์กร แนวความคดน้มอทธพลอยู่ในช่วงป ค.ศ. 1975 จนถงปจจบัน
ี
ุ
ิ
ิ
ิ
ิ
์
เสรมศักด์ วิศาลาภรณ (2540) ได้สรปแนวคดเกี่ยวกับความขัดแย้งทั้งสองแนวคดไว้
ดังน้ ี