Page 120 - 045
P. 120
100
ิ
ี
1) การตรวจสอบระดับความส าเรจโดยการเปรยบเทียบผลลัพธ์ที่ปรากฏจรงจากการ
็
น าแผนไปปฏิบัติกับวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้ในแผน หากไม่แตกต่างกันมากนักแสดงว่าการ
วางแผนและการน าแผนไปปฏิบัติมีความสอดคล้องกันเป็นอย่างดี แต่ถ้าปรากฏว่ามีความแตกต่าง
กันมากก็ต้องพิจารณาในขั้นต่อไป
2) การตรวจสอบความเหมาะสมของวัตถุประสงค์ ในกรณีที่การปฏิบัติไม่เป็นไป
ตามวัตถุประสงค์จะต้องท าการวิเคราะห์ว่าเกิดจากปัญหาอะไร ถ้าเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ
วัตถุประสงค์ก็จะต้องทบทวนเพื่อปรับปรุงวัตถุประสงค์ให้เหมาะสมต่อไป
3) ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม คือการประเมินผลของสิ่งแวดล้อมว่า
มีการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับการคาดหมายหรือพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าหรือไม่ หากมีความแตกต่าง
ั
กันมากจะต้องน าสภาพแวดล้อมมาวิเคราะห์ส าหรบการปรบปรงการวางแผนใหม่ให้มีความ
ุ
ั
เหมาะสมยิ่งขึ้น
4) ตรวจสอบสมรรถนะขององค์กรในการน าแผนไปปฏิบัติ ความส าเรจของการน า
็
ื่
แผนไปปฏิบัติ นอกจากจะขึ้นอยู่กับปัจจัยอนแล้ว ปัจจัยที่ส าคัญอกประการหนึ่งก็คือสมรรถนะ
ี
ขององค์กรในการน าแผนไปปฏิบัติ โดยเฉพาะคุณภาพของบุคลากร เทคโนโลยี และงบประมาณ
ั
็
ส าหรบด าเนินการ ซึ่งจะมีความส าคัญต่อความส าเรจต่อการน าแผนไปปฏิบัติ หากพบว่ามีความ
่
ั
บกพรองเกี่ยวกับสมรรถนะองค์กร นักวางแผนจะต้องพิจารณาปรบปรงเพื่อให้การน าแผนไป
ุ
ปฏิบัติประสบผลส าเร็จตามที่ต้องการ
5) การประเมินผลการน าแผนไปปฏิบัติ ผู้ประเมินผลจะต้องประเมินผล
ทั้งกระบวนการ ได้แก่ การประเมินผลปัจจัยน าเข้า (Input) การประเมินผลกระบวนการน าแผนไป
ปฏิบัติ (Implementation Process) การประเมินผลลัพธ์ (Output) การประเมินผลกระทบ (Impact)
ุ
ซึ่งผลจากการประเมินท าให้เราทราบว่าในแต่ละขั้นตอนมีปัญหาอปสรรคอะไรบ้าง เป็นปัญหา
ื
เกี่ยวกับแผนหรือปัญหาที่เกิดจากผู้น าแผนไปปฏิบัติ หรอเป็นปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ
ั
ุ
ั
สิ่งแวดล้อมอย่างรวดเรว ทั้งหมดนี้จะเป็นข้อมูลส าคัญส าหรบการพิจารณาปรบปรงแผนให้มีความ
็
่
ุ
ั
เหมาะสมมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าพบว่าจุดใดบกพรอง ผู้ที่วางแผนก็จะต้องปรบปรงโดยด่วน เพื่อให้การ
วางแผนเป็นไปตามเป้าประสงค์ที่วางไว้