Page 175 - 013
P. 175
175
่
็
ื
ิ
ิ
ี
ี
เปนโรงเรยนขนาดเล็ก การปฏบัตงานในโรงเรยนต้องพึงพาอาศัยกันและคอยช่วยเหลอกันและกัน
์
่
ิ
ุ
ในการท างาน ซงสอดคล้องกับแนวคดของ Follett (อ้างใน เอกชัยกี่สขพันธ, 2538:167) ทกล่าว
ึ
ี่
ิ
ี
ี่
ี่
ุ
ว่าการประนประนอมเปนวิธการทนยมใช้มากทสด และSimmel (อ้างใน เสรมศักด์ วิศาลาภรณ,
์
็
ิ
ี
ิ
ี
2540 : 134) กล่าวว่าการประนประนอมเปนวิธททั้งสองฝายจะต้องตกลงทจะแบ่งเหตความขัดแย้ง
ุ
ี่
ี
ี่
็
่
ี
ื
ึ
ไม่มฝายใดชนะทั้งหมดหรอแพ้ทั้งหมดอกทั้ง วรนารถ แสงมณ (2544 : 22) กล่าวถงการ
ี
่
ี
ี
ื
ี
ู
ี่
ี
ี
่
ประนประนอมคอการใช้วิธเจรจาต่อรองเปลยนความยินยอม ถ้อยทถ้อยอาศัย ค่กรณแต่ละฝายต่างก็
ได้ประโยชนและต้องยอมเสยสละประโยชนบ้างมใช่ฝายหนงได้หรอเสยแต่อย่างเดยว ตลอดจน
ี
ี
ิ
่
์
่
ื
ี
์
ึ
ิ
์
ี
ิ
Thomas (อ้างในเสรมศักด์ วิศาลาภรณ, 2540 : 105) ได้ให้ความหมายของการประนประนอมว่า
ุ
ิ
ิ
ิ
็
็
เปนจดยืนระหว่างกลางของมตการเอาใจตนเองและมตการเอาใจผู้อน เปนแบบของการเจรจา
ิ
ื่
ี่
็
่
ี
ต่อรองทม่งจะให้ทั้งสองฝายมความพอใจบ้าง เปนลักษณะทหากจะได้บ้างก็ควรจะยอมเสยบ้าง
ี่
ี
ุ
ิ
็
ุ
ื
ี่
ี
ุ
หรอในลักษณะทมาพบกันครงทาง จากเหตผลดังกล่าวข้างต้นเปนเหตให้ผู้บรหารโรงเรยนเอกชน
่
ึ
ิ
ี
ั
ื
สอนศาสนาอสลามในจังหวัดปตตาน ส่วนใหญ่เลอกใช้การจัดการความขัดแย้งแบบการ
ี
ุ
่
ประนประนอม ซงสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ อษามาศ ระย้าแก้ว (2538 : 98-101) พบว่า
ึ
ุ
ผู้บรหารโรงเรยนผู้ใหญ่สายสามัญ ในเขตกรงเทพมหานครเลอกใช้วิธแก้ไขความขัดแย้งแบบ
ี
ื
ิ
ี
ี
ึ
ี
ประนประนอมเปนอันดับหนง และยังสอดคล้องกับผลการศกษาของ นอกจากน้ยังสอดคล้องกับ
็
่
ึ
ิ
ิ
ิ
ผลงานวิจัยของ จตต์อร่าม ศรนกร (2540 : 120-126) ทพบว่าผู้บรหารส านักงานศกษาธการจังหวัด
ี่
ึ
ิ
ิ
ิ
ึ
่
ึ
ื
เขตการศกษา 11 เลอกใช้วิธจัดการความขัดแย้งแบบการประนประนอมเปนอันดับหนง และ
ี
็
ี
ิ
ึ
ี
สอดคล้องกับผลการศกษาของ วรศักด์ ิ สมฤทธ์ ิ(2541, หน้า 59) พบว่าผู้บรหารโรงเรยนขยาย
โอกาสทางการศกษา สังกัดส านักงานการประถมศกษาอ าเภอฝาง จังหวัดเชยงใหม่ แสดงพฤตกรรม
ี
ึ
ึ
ิ
ื่
ประนประนอมในสถานการณความขัดแย้งมากกว่าพฤตกรรมด้านอนๆ รวมทั้งสอดคล้องกับ
์
ิ
ี
ผลงานวิจัยของ ช่วงชัย ดรหมั่น (2547 : 40) พบว่าผู้บรหารในส านักงานเขตพื้นทการศกษา
ึ
ิ
ี่
ื
ี
็
ี
ขอนแก่นเขต 4 เลอกใช้วิธการจัดการความขัดแย้งแบบการประนประนอมเปนล าดับแรก และ
ึ
สอดคล้องกับผลงานวิจัยของ รนัชญา แซ่เล้า (2548 : 52) พบว่าผู้บรหารสถานศกษาขั้นพื้นฐานใน
ิ
ี
ึ
ี
ี่
เขตพื้นทการศกษาเชยงใหม่เขต 1 ส่วนใหญ่ใช้การจัดการความขัดแย้งแบบการประนประนอม
ุ
ี
์
ี่
ุ
ี่
สาเหตมาจากอายุทต่างกันมความสขุมรอบคอบ และความสามารถในการควบคมอารมณทแตกต่าง
ุ
็
กันจงเปนผลท าให้วิธการจัดการความขัดแย้งทแตกต่างกัน
ี่
ี
ึ
ิ
ี่
ี
ี
3.2 เปรยบเทยบค่าเฉลยของวิธการจัดการความขัดแย้งของผู้บรหาร
ี
ึ
ี
ิ
ี่
ี
จ าแนกตามวุฒทางการศกษา พบว่า ผู้บรหารทมวุฒการศกษาแตกต่างกันมวิธจัดการความขัดแย้ง
ึ
ิ
ิ
ี
ี
ี่
ี่
ี
ื
ิ
ี
ไม่แตกต่างกันแต่อย่างใด แสดงว่าตัวแปรน้ไม่มความส าคัญทท าให้ผู้บรหารเลอกใช้วิธทแตกต่าง
ึ
ึ
ุ
่
ี
ึ
ิ
กัน ซงสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ ศวด ตาปนานนท์ (2542 : 59) ซงพบว่า วุฒทางการศกษา
่