Page 180 - 013
P. 180
180
ี
ึ
ื
่
ี
ุ
์
ึ
ละคน หรอข้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ขนาดของโรงเรยน จ านวนบคลากร สถานการณ ซงวิธการ
ิ
จัดการความขัดแย้งในด้านส่วนบคคลของโรงเรยนเอกชนสอนศาสนาอสลามในจังหวัดปตตาน
ั
ี
ุ
ี
ิ
ั
ิ
ผลการวิจัย พบว่า ผู้บรหารนยมน ามาใช้ในการจัดการกับความขัดแย้งทเกิดข้นจากปญหาต่าง ๆ
ี่
ึ
ื่
ึ
ี
ี
ี
ึ
โดยใช้วิธการจัดการหลายวิธผสมผสานกันไป เพราะเมอมความขัดแย้งเกิดข้นในสถานศกษา
ั
ั
ี่
ี่
ี
่
ึ
ิ
ื่
ผู้บรหารพยายามแก้ไขปญหาทเกิดข้นด้วยการรอมชอม หาวิธการทยอมรบได้ทั้งสองฝายเมอความ
็
ี
่
ึ
ิ
คดเหนไม่ตรงกัน ท าให้การไม่ได้เสยเปรยบของทกฝายเปนไปด้วยความยุตธรรม ซงสอดคล้องกับ
ุ
่
ี
็
ิ
ิ
ุ
ี่
ี
ุ
ี
ุ
นายอับดลฮามด จะปะกียา (2555) กล่าวว่า “เรามวิธการหาจดทเข้าใจร่วมกันได้ หาจดสรป
ุ
ี
ี่
เพราะเราถอว่าเปนแนวทางทดส าหรบองค์กรเพื่อพัฒนาตนเอง เราต้องสรางให้กับทมงาน ต้องให้
้
ั
ี
็
ื
ั
เกียรตซงกันและกันการรบฟงสาเหตและเหตผลของฝายตรงข้างข้าม เพราะฉะนั้นต่างคนต้องให้ม ี
ึ
่
ิ
่
ุ
ั
ุ
ิ
ื่
ู
ึ
้
ความรสกว่ารบฟง ให้เกียรตคนอนด้วยอนซาอัลลอฮความขัดแย้งก็จะเปนการพัฒนาต่อองค์กร”
ฺ
ิ
ั
็
ั
สอดคล้องกับ นายอับดรเราะฮ์มาน สาและ (2555) ได้เสนอวิธการไว้ว่า “ถ้าปญหาส่วนตัวเกี่ยวกับ
ุ
ั
ี
เพื่อนร่วมงาน ก็ต้องใช้เวลาในการแก้ปญหาควรใช้เวลาให้ค้นเคย แต่ถ้าเปนปญหากับงาน
ั
ั
็
ุ
ิ
ี
ุ
ุ
ิ
ี่
ี่
ื
ผู้บรหารควรใช้วิธการประชมหารอและพยายามให้แสดงความคดเหนในทประชมทันทแล้วก็สรป
ุ
็
ุ
ี่
ในทประชม ถงแม้อาจจะไม่เหนด้วยกับเหตผลของส่วนใหญ่ เราก็ต้องยอมรบและต้องตามกับคน
ุ
ึ
็
ั
ั
ส่วนใหญ่เพราะงาน เพื่อให้ทั้งสองฝายต่างก็ยอมรบได้เปนบางส่วน คอ พูดถงปญหาอย่าง
็
ึ
ั
ื
่
ุ
็
ี่
็
็
ี่
ั
ี
ตรงไปตรงมามากกว่าจะหลกเลยงปญหา เพื่อเปนการแสวงหาจดยืนทเปนกลาง อย่างรวดเรว
ึ
ี
ิ
ิ
ื
ี
นั้นเอง ” สอดคล้องกับ อบรอฮม หะ (2555) กล่าวว่า “ผู้บรหารต้องเรยกปรกษาหารออยู่
่
ตลอดเวลา อาจจะเรยกเปนส่วนตัว เรยกหนงถงสามคร้ง แรก ๆ ในการด าเนนการทางโรงเรยนได้
ึ
ิ
็
ึ
ี
ี
ี
ั
่
ิ
ี
ื่
มอบให้หัวหน้าฝายวิชาการเรยกมาด าเนนการ แต่ถ้ายังไม่ได้ผลก็เรองดังกล่าวฝายวิชาการก็มอบ
่
ี
ให้กับผู้บรหารด าเนนการต่อไป แต่ในทประชมใหญ่นั้นผู้บรหารได้ช้แจงในภาพรวมอยู่แล้ว โดย
ี่
ิ
ิ
ุ
ิ
ุ
ผู้บรหารย ้าอยู่เสมอว่าเราต้องรบผิดชอบต่อหน้าททางโรงเรยนก็ได้ให้ทกอย่างอยู่แล้ว ส่วนในด้าน
ิ
ั
ี
ี่
ิ
ี
ื่
ี
ี่
ี่
ุ
ั
ิ
ความคด ถ้าหากว่าความคดทด ๆ ทยอมรบได้ทางโรงเรยนก็สนับสนน ในเรองเกี่ยวกับกรยา
ิ
ี่
ื
ิ
ุ
มารยาทหรอในการแสดงออกนั้น ดังทอับดรเราะฮ์มาน สาและ (2555) กล่าวว่า “ผู้บรหารจะต้อง
ี
เรยกช้แจงต้องพูดคยเกี่ยวกับมารยาทในการแต่งกายให้เหมาะสมกับคร ให้ครเข้าใจ เพราะครบาง
ี
ู
ู
ุ
ู
ี่
ั
ู
ี
ู
็
ี
็
คนการแต่งกายไม่เหมาะสมกับการเปนคร ครต้องเปนแบบอย่างทดส าหรบนักเรยน เพราะฉะนั้น
ี
ู
ิ
็
ี่
ผู้บรหารต้องบอกให้กับบคลากรตอนทจะมาท างานแรกๆ ว่า ครต้องเปนแบบอย่างทดให้กับ
ี่
ุ
ี
ู
ี
ื
ู
นักเรยน ครไม่ใช่มาสอนหนังสอแต่ครต้องมาสอนนักเรยน สอนให้แต่ละคนเปนนักเรยนท ี่
็
ี
์
สมบูรณ ”
์
ุ
ิ
วิธการจัดการกับความขัดแย้งในด้านปฏสัมพันธ จากค าพูดของนาย อับดลฮามด
ิ
ี
จะปะกียา (2555) ได้เสนอวิธการไว้ว่า “ถ้าปญหาความขัดแย้งระหว่างกล่มต่อกล่ม ต้องม ี
ุ
ุ
ี
ั