Page 55 - 001
P. 55

44


                   ความคงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าในฐานะเป็นผู้ที่อยู่สูงสุดซึ่งเป็นประจักษ์พยานแห่งวิวัฒนาการของ

                   โลก แต่ว่าไม่ใช่เป็นผู้สร้างโลก
                              ทรรศนะที่ 4 : โยคะ ลัทธิโยคะถือหลักการทำจิตใจให้บริสุทธิ์ กั้นกระแสจิตไว้ไม่ให้
                                                                                          ่
                   ตกไปสู่อารมณ์ภายนอก หลักปฏิบัติของลัทธินี้คือ บริกรรมคำว่า “โอม” แล้วเพงจิตไปที่พระ
                                                                     ื่
                                        ื่
                   อิศวรแล้วกล่าวซ้ำๆ เพอให้เกิดความรู้ถึงสิ่งสูงสุดและเพอป้องกันอุปสรรคในการบำเพญโยคะ
                                                                                               ็
                   ลัทธิโยคะถือว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นอารมณ์ที่สูงสุดที่จิตควรยึดมาเป็นอารมณ์ในการทำสมาธิ
                                                                                                  ั
                   เนื่องจากพระองค์เป็นผู้สมบูรณ์พร้อม เป็นผู้ทรงอยู่ชั่วนิรันดร เป็นผู้คงอยู่ทุกที่ เป็นสัพพญญู
                   และเป็นผู้ปราศจากความบกพร่องใดๆ
                              ทรรศนะที่ 5 : มีมางสาหรือปูรวมีมางสา มีมางสาหมายถึงการพนิจพจารณา
                                                                                          ิ
                                                                                               ิ
                                                                          ื่
                   สอบสวนพระเวท วัตถุประสงค์เดิมทีเดียวของลัทธิมีมางสาก็เพอป้องกันและให้ความเป็นธรรม
                   แก่การบำเพ็ญพธีกรรมทางคัมภีร์พระเวท เพื่อการนี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาปรัชญาเข้ามา
                                 ิ
                                                         ิ
                   สนับสนุนความคิดในทางโลก เพราะว่าพธีกรรมจำต้องอาศัยความเห็นของโลกสนับสนุน
                   มิฉะนั้นแล้วพิธีกรรมก็ไม่มั่นคงและไม่เป็นสถาบันที่แน่นอนได้
                              ทรรศนะที่ 6 : อุตตระมีมางสาหรือเวทานตะ เวทานตะหมายถึง “ความรู้ที่สูงสุด”

                   หรือ “ที่สุดของพระเวท” ลัทธินี้ค้นคว้าหาเหตุผลแห่งโลก พร้อมทั้งการตรัสรู้สภาพอาตมัน
                   อาตมันคือพรหม พรหมในลัทธิเวทานตะไม่มีตัวตนเป็นสภาวะ ลัทธิเวทานตะสอนว่าโลกนี้คือ

                   พรหม ทุกอย่างมาจากพรหมและทุกอย่างเป็นพรหม ดังนั้น ทุกคนจึงควรบูชาพรหมด้วยใจ
                   บริสุทธิ์


                   ชาวอินโด-อารยันในสมัยมหากาพย์
                          ในการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับชาวอารยันในระหว่าง 3,250 – 2,850 ปีมาแล้วนี้

                   นักวิชาการได้อาศัยหลักฐานจากวรรณกรรมมหากาพย์ 2 เรื่อง คือ มหากาพย์มหาภารตะ (The
                   epic of Mahabharata) และมหากาพย์รามายณะ (The epic of Ramayana) วรรณกรรมทั้ง
                   2 เรื่องได้พรรณนาความเป็นอยู่ของชาวอารยันในช่วงที่มีการขยายตัว กล่าวถึงเรื่องการทำ

                   สงครามเพอแย่งชิงดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ เป็นช่วงเวลาที่ชาวอารยันกำลังขยายอาณาเขตและ
                             ื่
                   สร้างความเป็นปึกแผ่น ถึงแม้ว่าวรรณกรรมดังกล่าวจะมีการแต่งเสริมเพิ่มเติมขึ้นอีกมากมายใน

                   ภายหลัง แต่เรื่องราวต่างๆก็มีเค้าโครงที่อยู่บนพนฐานของเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น นัก
                                                                  ื้
                   ประวัติศาสตร์จึงเรียกช่วงเวลานี้ว่า “สมัยมหากาพย์” (epic age) อย่างไรก็ดี แม้จะมีเรื่องเล่าที่
                   อยู่ในรูปแบบวรรณกรรมแล้ว แต่มีการจดบันทึกในภายหลัง ช่วงเวลานี้จึงยังถือว่าอยู่ใน

                   สมัยก่อนประวัติศาสตร์
                          1.  องค์กรทางการเมือง ชาวอารยันในยุคนี้ได้ลงหลักปักฐานในอินเดียเป็นที่มั่นคงทาง

                   ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียแล้ว และมีชาวอารยันบางกลุ่มบางเผ่าขยับต่อไปทาง
                   ตะวันออก เลยไปจนถึงเขตแม่น้ำคงคา และขยายไปจนถึงดินดอนสามเหลี่ยมในเบงกอล โดยแต่
                   ละเผ่าจะมีถิ่นที่อยู่เป็นสัดเป็นส่วนแน่นอนและจัดการขนานนามถิ่นที่อยู่ของตนตามชื่อเผ่า ใน
   50   51   52   53   54   55   56   57   58   59   60