Page 50 - 001
P. 50

39


                          ดังนั้น คัมภีร์พระเวทจึงไม่ใช่วรรณกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาเท่านั้น หากแต่ยังเป็น

                   บันทึกทางประวัติศาสตร์ เป็นที่มาของความรุ่งเรืองของภาษาสันสกฤต รวมทั้งยังมีอิทธิพลต่อ
                   ภูมิปัญญาตลอดจนการสร้างสรรค์ทางศิลปะสาขาต่างๆ ในอารยธรรมอินเดียที่ยังคงสืบทอดมา
                   จนถึงทุกวันนี้ อาจกล่าวได้ว่าส่วนที่เกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดูทั้งหมดมีพื้นฐานมาจากคัมภีร์

                                3
                   พระเวทนั่นเอง
                          ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าคัมภีร์พระเวทเป็นเรื่องของการสืบทอดโดยวาจามาเป็นเวลานาน

                   ก่อนที่จะมีการบันทึกลายลักษณ์อักษร อีกทั้งคัมภีร์พระเวทไม่ได้แต่งขึ้นพร้อมกันทั้งหมด ซึ่ง
                                                             ิ่
                   เมื่อเวลาผ่านไปคัมภีร์พระเวทก็ได้รับการแต่งเพมเติมมากขึ้น โดยคัมภีร์พระเวทในส่วนสุดท้าย
                   ได้แก่ คัมภีร์อุปนิษัท ที่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงราว 2,600 ปีมาแล้ว ทั้งนี้คัมภีร์พระเวทประกอบไป

                   ด้วย  4 หมวด ได้แก่
                          1.  ฤคเวท เป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุด ประกอบไปด้วยบทสวดต่างๆ แต่งเป็นคำฉันท์ที่วาง

                                                       ื่
                   กฎเกณฑท่วงทำนองคำสวดไว้ตายตัว เพอสวดบูชาสรรเสริญเทพเจ้า อีกทั้งยังมีเรื่องวรรณคดี
                           ์
                   และการปกครองรวมอยู่ด้วย
                          2.  ยชุรเวท เป็นคัมภีร์ที่ใช้ในการพิธีบูชายัญ เขียนเป็นบทร้อยแก้ว ให้ความรู้เกี่ยวกับ

                   การเปลี่ยนแปลงด้านศาสนาและสังคม
                          3.  สามเวท เป็นคัมภีร์ที่มีเนื้อหาส่วนใหญ่มาจากฤคเวท นำมาทำบทร้องและบทสวด

                   ในพิธีต่างๆ
                          4.  อาถรรพเวท เป็นคัมภีร์ที่รวมเรื่องโชคลางของขลังและเวทมนตร์ต่างๆ นักวิชาการ
                   บางท่านไม่ยอมรับว่าอาถรรพเวทเป็นพระเวทหนึ่งเหมือนกัน เพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ

                   ทำพิธีบูชายัญแต่อย่างใด
                          นอกจากนี้ ในคัมภีร์พระเวทแต่ละหมวดยังประกอบไปด้วยส่วนของคัมภีร์ 4 ตอน ซึ่ง

                   แต่ละตอนก็ไม่ได้เรียบเรียงขึ้นพร้อมกัน ได้แก่
                                                           4
                          1.  สัมหิตา เป็นที่รวมบทสดุดีเทพเจ้า บทสวดขับร้อง มนต์หรือคาถา และสูตรสำหรับ
                   ใช้ในพิธีบูชายัญ

                          2.  พราหมณะ เป็นส่วนที่อธิบายความหมายของสัมหิตา กล่าวคือ อธิบายบทสดุดีเทพ
                                                                                                ิ
                   เจ้า โดยบัญญัติว่าบทสดุดีใดควรใช้ในที่ใด รวมทั้งอธิบายถึงระเบียบในการประกอบพธีกรรม
                   และความหมายของพิธีบูชายัญ
                          3.  อารัญยกะ เป็นส่วนที่เริ่มต้นแนวความคิดทางปรัชญาของคัมภีร์พระเวท
                          4.  อุปนิษัท เป็นส่วนที่เกิดขึ้นภายหลังสุด เป็นตอนสุดท้ายของคัมภีร์พระเวท ว่าด้วย

                   เรื่องความนึกคิดทางปรัชญาซึ่งอธิบายเกี่ยวกับ “วิญญาณ” หรือ “อาตมัน” เรื่องพระเจ้า เรื่อง
                   โลก และเรื่องมนุษย์





                                                            ์
                          3  สุภัทรา นีลวัชระ วรรณพิณและศุภวรรณ ชวรัตนวงศ. (2551). อินเดีย : อดีต-ปัจจุบัน. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์
                   มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, หน้า 46-47.
                          4  สาวิตรี เจริญพงศ. (2544). ภารตยะ : อารยธรรมอินเดียตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงหลังได้รับเอกราช. กรุงเทพฯ: โครงการ
                                      ์
                   เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, หน้า 49-50.
   45   46   47   48   49   50   51   52   53   54   55