Page 113 - 049
P. 113
99
็
ื่
ื
์
ดังนั้นองค์กรสังคมเปนเรองของความสัมพันธอ านาจ และอ านาจในองค์กร ถอได้ว่า
็
็
ั
ิ
ี่
ิ
เปนสทธอ านาจ (Authority) เพราะบทบาทเหล่าน้เปนของต าแหน่งทยอมรบกันในองค์กร
ี
ุ
็
ี
ความเปนระเบยบทางสังคมจะด ารงอยู่ได้ก็โดยการพยายามซ่อมบ ารงกระบวนการ
้
ิ
สรางความสัมพันธแห่งสทธอ านาจเอาไว้ ซงทฤษฎความขัดแย้งเชงวิภาษวิธ (Dialectics) ของเขาม ี
ึ
ิ
ิ
ี
ี
่
์
ดังต่อไปน้ ี
ิ
ี
ุ
ู
้
1. ความขัดแย้งมโอกาสเกิดได้ หากสมาชกของกล่มขัดแย้งรแน่ว่าผลประโยชน์ของ
ุ
ตนคออะไร และสามารถรวมตัวกันเปนกล่มก้อนเพื่อม่งผลประโยชน์นั้น
็
ุ
ื
ื่
ี
ื่
2. ความขัดแย้งจะเข้มข้น หากเงอนไขทางเทคนค ได้แก่ มเครองอ านวยความสะดวก
ิ
ื่
ื
ิ
เงอนไขทางการเมอง ได้แก่ กฎหมายเปดช่องไว้บ้างหรอผู้มอ านาจบางคนสนับสนน และเงอนไข
ื่
ี
ื
ุ
ทางสังคม ได้แก่ มคนร่วมด้วยจ านวนมากพอในการรวมกล่มขัดแย้งอ านวยให้
ุ
ี
ิ
ี
ิ
ื่
3. ความขัดแย้งจะมความเข้มข้น หากการกระจายสทธอ านาจและรางวัลเกี่ยวเนอง
สัมพันธกัน
์
ี่
ุ
ุ
ี
4. ความขัดแย้งจะมความเข้มข้น หากการสับเปลยนโยกย้ายบคคลไปมา ระหว่างกล่มท ี่
ี
ี
ผู้มอ านาจกับกล่มผู้ไม่มอ านาจ
ุ
ุ
ื
ื่
ุ
5. ความขัดแย้งจะรนแรง หากเงอนไขการรวมกล่มคนด้านเทคนค ด้านการเมองและ
ิ
ื
ด้านสังคมไม่อ านวยหรออ านวยให้ท าได้น้อย
ื
ื่
ี
ุ
6. ความขัดแย้งจะรนแรง หากมการเสยประโยชน์ในการแบ่งรางวัล สบเนองมาจาก
ี
ี่
ื
ิ
็
ุ
็
การเปลยนเกณฑ์จากเกณฑ์ตายตัว หรอเกณฑ์วัตถวิสัย เหนได้ วัดได้ ชัดเจนไปเปนเกณฑ์เชง
เปรยบเทยบ หรอเกณฑ์จตวิสัย
ี
ื
ี
ิ
้
7. ความขัดแย้งจะรนแรง ถ้ากล่มขัดแย้งไม่สามารถจะสรางข้อตกลงควบคม
ุ
ุ
ุ
การขัดแย้งระหว่างกันข้นมาได้
ึ
้
ี่
8. ความขัดแย้งทเข้มข้นจะท าให้เกิดการเปลยนแปลงทางโครงสรางและการจัดองค์กร
ี่
ใหม่ข้นในองค์กรสังคมแห่งความขัดแย้งนั้น
ึ
้
ี่
ิ
9. ความคดขัดแย้งทรนแรงจะก่อให้เกิดอัตราการเปลยนแปลงทางโครงสรางและ
ี่
ุ
ี่
ู
การจัดระเบยบใหม่ในองค์กรสังคมทเกิดความขัดแย้งนั้นอย่างสง
ี