Page 123 - 013
P. 123
123
ึ
ึ
ิ
ื่
โรเบรท (Roberts, 1997 : 51,อ้างถงใน บัญญัต ยงยุทธ. 2546 : ) ได้ศกษา เรอง
ิ
์
์
ื่
็
ี
ความสัมพันธระหว่างความเชอมั่นในความส าเรจของตนเองของอาจารย์ใหญ่กับวิธการจัดการ
็
ื่
ความขัดแย้งกับคร ผลการวิจัยพบว่า มความสัมพันธเชงบวก ระหว่างความเชอมั่นในความส าเรจ
ี
ู
ิ
์
์
ของตนเอง และแบบการจัดการความขัดแย้งของอาจารย์ใหญ่ ผลการวิเคราะหความแปรปรวนพห ุ
บ่งบอกว่า ความส าเรจของตนเองและแบบการจัดการกับความขัดแย้งแตกต่างกันอย่างไม่ม ี
็
ื่
ึ
ึ
์
ื่
ิ
นัยส าคัญ เมอจ าแนกตามตัวแปร เชอชาต ประสบการณ ในวงการศกษา และระดับการศกษา
ิ
ึ
ิ
ฟลเลย์ (Filley. 1983 : 350-551, อ้างถงใน สมคด กันมัง, 2546 : 17) ได้วิจัยการ
ิ
แก้ปญหาความขัดแย้ง พบว่าการแก้ปญหาร่วมกันเปนการน าความจรงและหลักตรรกวิทยามาใช้
ั
็
ั
์
ั
ี
็
ี
ี่
เพื่อให้สภาพการณความขัดแย้งเปนลักษณะสรางสรรค์ วิธการแก้ปญหาเปนวิธทมประโยชน ใช้
็
์
้
ี
็
ี่
ุ
ั
ั
บ่อยทสดในการแก้ปญหาระหว่างผู้บังคับบัญชา และใต้บังคับบัญชา วิธการแก้ปญหายังเปน
ี
ี่
้
ี
วิธการทท าให้แต่ละกล่มบรรลเปาประสงค์ของกล่ม
ุ
ุ
ุ
ึ
ั
ึ
อาดัมส (Adams 1989 : 1854,อ้างถงใน ฉลาก กันกา.2547 : 39) ศกษาการรบร ู ้
์
เกี่ยวกับความขัดแย้งและความผูกพันในโรงเรยนระดับกลาง โดยรวบรวมข้อมูลจากโรงเรยน 3
ี
ี
์
ั
แห่งในรฐเพนซลเวเนย เปนกล่มตัวอย่างโดยสัมภาษณคร 25 คน พบว่าความขัดแย้งส่วนมากเกิด
็
ุ
ิ
ู
ี
จากครใหญ่ซงมอทธพลมากโรงเรยนทผู้บรหารชอบใช้อ านาจและใช้วิธแก้ปญหาความขัดแย้งโดย
ู
ั
ิ
ิ
ี
่
ี
ี
ิ
ึ
ี่
ี
ี่
ู
ิ
ิ
ี
ี
ี่
็
การหลกเลยงจะมระดับความขัดแย้งสง ความขัดแย้งและความผูกพันเปนตัวแปรทมอทธพลในการ
ิ
ึ
บรหารองค์การหากผู้บรหารลดข้อขัดแย้งและเพิ่มความผูกพันให้เหมาะสมจะช้ ีให้เหนถง
ิ
็
ความส าเรจและบรรลจดม่งหมายของโรงเรยน
ุ
็
ี
ุ
ุ
ุ
ั
ึ
จากการศกษางานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศสรปได้ว่า ปญหาความ
ึ
่
ี
ิ
ุ
ี
ขัดแย้งย่อมเกิดข้นได้ทกองค์การ ดังนั้นวิธขจัดความขัดแย้งของผู้บรหารมได้ใช้วิธใดวิธหนงโดย
ี
ึ
ิ
เฉพาะเจาะจงแต่มักใช้ควบกันไปสดแล้วแต่สถานการณ อันเปนเหตให้ผู้วิจัยสนใจศกษาวิธการ
ี
ุ
็
ุ
ึ
์
ิ
จัดการความขัดแย้งของผู้บรหารโรงเรยนเอกชนสอนศาสนาอสลามในจังหวัดปตตาน ี
ี
ั
ิ