Page 122 - 013
P. 122
122
ี่
ุ
ื
3. สาเหตของความขัดแย้งในด้านสภาพองค์การ ทส าคัญ 3 อันดับแรก คอ
ุ
ี
ี่
ั
้
การมทรพยากรทจ ากัด ความไม่ชัดเจนในบทบาทของบลากร และการมโครงสรางขององค์การท ี่
ี
ุ
ื
ไม่ชัดเจนส่วนสาเหตอันดับสดท้าวคอ การมกฎระเบยบทเข้มงวด
ุ
ี
ี่
ี
ี
ี
4. วิธการบรหารความขัดแย้งในโรงเรยนประถมศกษา จังหวัดหนองบัวล าภู
ึ
ิ
ี
ี
ื
ิ
็
พบว่า โดยภาพรวมผู้บรหารโรงเรยนใช้วิธการร่วมมอในการจัดการกับความขัดแย้ง เปนอันดับ
ี
ี
ี
ี
แรก รองลงมาเปน วิธการหลกเลยง วิธการประนประนอม วิธยอมให้และวิธการเอาชนะ
ี
็
ี่
ี
ตามล าดับ
ั
5.2 งานวิจยตางประเทศ
่
ึ
ี
ั
ี
์
มาเรย (Maria 1984 : 1601-A , อ้างถงใน มนตร รตนพันธ, 2545 : 46 ) ได้
ี่
ศกษาวิจัยเรอง วิธแก้ปญหาความขัดแยงของผู้บรหารโรงเรยนชาย และหญงในวิทยาลัยทสอนวิชา
ี
ั
ิ
ิ
ื่
ึ
ี
ิ
ิ
ี
์
ศลปศาสตรเอกชน ในรฐเพนซลวาเนย พบว่า
ั
์
ี
ิ
ั
ุ
ื
1. กล่มผู้บรหารใช้วิธการแก้ปญหาความขัดแยงแบบแข่งขัน กับการร่วมมอน้อย
ุ
ั
ุ
กว่ากล่มนักธรกิจ และเจ้าหน้าทรฐบาล
ี่
2. กล่มผู้บรหารทมการศกษาส.ใช้วิธการแก้ปญหาแบบขัดแย้ง แบบ
ู
ึ
ี่
ี
ี
ิ
ุ
ั
ี่
ี่
ุ
ี
ุ
ั
ประนประนอมกับแบบหลกเลยง สงกว่ากล่มนักธรกิจ และเจ้าหน้าทรฐบาล
ู
ี
ี
ั
ิ
ิ
3. ผู้บรหารชายและหญง ใช้วิธการแก้ปญหาแบบขัดแย้งทไม่แตกต่างกัน
ี่
ี
4. ผู้บรหารทมประสบการณน้อย จะใช้วิธการประนประนอมน้อยกว่า
ิ
์
ี
ี่
ี
ิ
ั
ู
ี
ี่
ิ
ิ
ื
5. ตัวแปรทมอทธพลต่อการแก้ปญหาความขัดแย้งของผู้บรหารระดับสงคอ เวลา
ี่
ทท างาน
ึ
ึ
แอสเวิธ (Ashworth 1989 : 2314, อ้างถงใน ฉลาก กันกา.2547 : 40) ได้ศกษาวิธ ี
จัดการกับความขัดแย้งของครใหญ่และศกษาธการในโรงเรยนรฐบาลแห่งรฐโอไอโอ โดย
ึ
ี
ั
ิ
ู
ั
ี
เปรยบเทยบวิธจัดการกับความขัดแย้งของผู้บรหารโรงเรยนทั้งระดับประถมและมัธยมศกษากับ
ึ
ี
ี
ิ
ี
ิ
ื
ศกษาธการ โดยก าหนดตัวแปรอสระ คอลักษณะของโรงเรยน ขนาดของโรงเรยน วุฒ ิ
ิ
ี
ึ
ี
ี
์
ิ
ประสบการณ และผลงานในรอบ 5 ปทผ่านมาข้อมูลได้จากศกษาธการ 118 คน ผู้บรหารโรงเรยน
ี
ิ
ี่
ึ
ึ
ิ
ี
ึ
ึ
ิ
มัธยมศกษา 116 คน และผู้บรหารโรงเรยนประถมศกษา 113 คน ผลการศกษาปรากฏว่า ผู้บรหาร
ี
ึ
ิ
โรงเรยนมัธยมศกษากับศกษาธการ มวิธ 56 จัดการกับความขัดแย้งแตกต่างกันอย่างมนัยส าคัญ
ี
ึ
ี
ี
ี
ี
ิ
ส่วนผู้บรหารระดับประถมศกษาและศกษาธการ มวิธจัดการกับความขัดแย้งไม่แตกต่างกัน
ึ
ึ
ิ