Page 163 - 001
P. 163

152


                   สรุปลักษณะสำคัญที่เกิดขึ้นในอินเดียยุคกลาง (พุทธศตวรรษที่ 12-18)

                          1. การบริหารจัดการ อินเดียในช่วงเวลานี้ รัฐที่มีรูปแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐ
                   ไม่ปรากฏอีกต่อไปแล้ว มีเพียงรัฐในระบบกษัตริย์อยู่ทั่วทุกภูมิภาคของอินเดีย อย่างไรก็ดี เป็นที่
                   น่าสังเกตว่า ไม่มีกษัตริย์ในอาณาจักรใดเลยที่จะสามารถรวมอินเดียเป็นหนึ่งเดียวได้ดังที่เคย

                                                                                                ื้
                   ผ่านมาในอดีต โดยราชวงศ์โมริยะเป็นราชวงศ์เดียวที่ประสพความสำเร็จในการรวมพนที่อัน
                   กว้างใหญ่ไพศาลของอินเดีย (ยกเว้นอินเดียใต้ไกล) หลังจากนั้น แม้จะมีความพยายามของ

                   กษัตริย์ในราชวงศ์ต่างๆ เช่น คุปตะ หรรษะ ปาละ หรือคุรชระ-ประติหาระ แต่ก็ไม่สามารถทำ
                   ได้ดังเช่นราชวงศ์โมริยะ ถึงกระนั้น ยังพอมองเห็นได้ว่ามโนคติเกี่ยวกับการปกครองดินแดนอัน
                   กว้างใหญ่โดยจักรพรรดิองค์เดียวยังคงมีอยู่ในผู้ปกครองทุกคน ดังนั้น ในสมัยยุคกลางนี้จึงเป็น

                   ช่วงเวลาที่แสนวุ่นวายในการทำสงครามระหว่างกันอยู่เสมอ แต่แล้ว เมื่อล้มเหลวในการรวมกัน
                   เข้าเป็นหนึ่งเดียว มโนคติดังกล่าวก็ค่อยๆเลือนหายไป อินเดียถูกแบ่งการปกครองออกเป็น

                   อาณาจักรต่างๆ ซึ่งไม่มีอาณาเขตที่แน่นอน และต่างสู้รบกันเองอยู่เสมอ ดังนั้น จึงเป็นจุดอ่อน
                   อย่างยิ่งเมื่อต่างชาติเช่น เติร์กเข้ามารุกราน
                          ส่วนในเรื่องพระราชอำนาจของกษัตริย์นั้น เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า พระองค์เป็น

                   ผู้นำแห่งรัฐเป็นผู้กุมอำนาจฝ่ายตุลาการ บริหาร และนิติบัญญัติไว้แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งรวมไปถึง
                   การเป็นผู้นำในกองทัพด้วย อย่างไรก็ตาม แม้อำนาจของพระองค์จะไม่มีขีดจำกัด แต่พระองค์ก็

                   ไม่สามารถปฏิบัติสิ่งใดตามอำเภอใจได้ จำเป็นที่จะต้องมีผู้ให้คำปรึกษาและผู้ช่วยในการบริหาร
                   ประเทศ ได้แก่ รัฐมนตรี ซึ่งมีจำนวนที่ไม่แน่นอน แล้วแต่ว่ากษัตริย์มีพระประสงค์อยากให้ใคร
                   ทำงานในเรื่องใด ตำแหน่งสูงสุดคือ นายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับคำเรียกขานว่า มหามนตรี

                   (Mahamantri) หรือ ราชมัตยะ (Rajamatya) บางครั้งพบว่าข้าราชบริพารในตำแหน่งนี้มี
                   อิทธิพลต่อกษัตริย์บางพระองค์เป็นอย่างมาก ในขณะที่ในเรื่องของการสืบราชบัลลังก์ ตามปกติ

                   แล้วพระโอรสองค์โตจะเป็นผู้สืบทอดจากพระราชบิดา แต่ในความเป็นจริงกษัตริย์มีสิทธิ์ที่จะตั้ง
                   โอรสองค์ใดเป็นมกุฎราชกุมารก็ได้
                          ลักษณะพเศษที่สำคัญอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในยุคนี้ คือ ระบบศักดินาเจ้าผู้ครองที่ดิน ซึ่ง
                                   ิ
                   กลายเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการแตกแยกและความอ่อนแอทางการเมือง เริ่ม
                   จากการที่กษัตริย์พระราชทานที่ดินที่เรียกว่า จาคีร์ (Jagir) เป็นรางวัลแก่ข้าราชการ และเรียก

                   ตำแหน่งเหล่านี้ว่า จาคีรทรร (Jagirdar) ซึ่งแปลว่าเจ้าที่ดิน  เจ้าที่ดินนี้สามารถบริหารจัดการ
                   ที่ดินของตนเองได้โดยอิสระ สามารถมีกองทหารเป็นของตนเอง และมีสิทธิ์ที่จะขยายที่ดินของ
                                                 ื่
                   ตนเองออกไปในอาณาจักรของเพอนบ้านได้ อย่างไรก็ดี พวกเขายังคงขึ้นอยู่กับกษัตริย์และ
                   ช่วยเหลือพระองค์ยามเกิดศึกสงคราม ทั้งนี้ หากพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า เหล่าพวกเจ้าที่ดินมี
                   สถานะกึ่งๆผู้ครองแคว้นที่เป็นอิสระ มีการแข่งขันที่จะเพิ่มอำนาจระหว่างกันรวมไปถึงการเพม
                                                                                                     ิ่
                   อิทธิพลในราชสำนักด้วย บางครั้งจึงพบว่าเจ้าที่ดินบางคนได้แยกตัวออกไปเป็นเจ้าผู้ครองแคว้น
                   อย่างเต็มตัว หรือกลายเป็นผู้แย่งชิงราชบัลลังก์ไปในที่สุด
                          2. สภาพทางเศรษฐกิจ อินเดียเป็นดินแดนแห่งความมั่งคั่ง แม้ในช่วงเวลานี้จะมีความ

                   วุ่นวายทางการเมือง แต่กลับมีความรุ่งเรืองทั้งทางด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม รวมไปถึง
                   การค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ สินค้าส่งออกส่วนใหญ่ได้แก่ เสื้อผ้า งาช้าง ไข่มุก หินมี
   158   159   160   161   162   163   164   165   166   167   168