Page 160 - 001
P. 160

149


                                                                                     ุ
                   ชาร์วูหรือตันชอร์และตั้งราชวงศ์ขึ้นใหม่ นับตั้งแต่นี้ต่อไปจนถึงพทธศตวรรษที่ 18
                   (คริสต์ศตวรรษที่ 13) โจฬะได้ขึ้นมามีอำนาจอีกครั้งและมีบทบาทสำคัญในอินเดียใต้ไกลเป็น
                   อย่างมาก
                          กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงในราชวงศ์โจฬะ ได้แก่ ราชราชะที่ 1 (Rajaraja I : พ.ศ. 1528-1557

                   / ค.ศ. 985-1014) และราเชนทรที่ 1 (Rajendra I : พ.ศ. 1557-1585 / ค.ศ.1014-1042) ราช
                   ราชะที่ 1 ได้รับพระราชสมัญญานามว่า มหาราช (The Great) เนื่องจากพระองค์ประสบ

                   ความสำเร็จในเรื่องการขยายดินแดนตั้งแต่การประสบชัยชนะในดินแดนจาลุกยะแห่งเวงคิ
                   ปาณฑยะแห่งมทุไร และเฉระแห่งเกระละ (Kerala) พระองค์ยังมีกองทัพเรืออันยิ่งใหญ่ ซึ่ง
                   สามารถนำทัพไปยึดชายฝั่งของมะละบาร์ (Malabar coast) ได้ทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถเข้ายึด

                                                                                        8
                   ครองตอนเหนือของลังกาไว้ได้ รวมไปถึงเกาะมัลดีฟ (Maldive) อีกด้วย  ในช่วงเวลานี้
                                                                                       ื้
                   อาณาจักรโจฬะและจาลุกยะแห่งเวงคิถูกรวมเข้าไว้ด้วยกันแล้ว ดังนั้น พนที่ที่อยู่ในความ
                   ครอบครองของโจฬะจึงกว้างใหญ่ไพศาลเป็นอย่างยิ่ง
                          เมื่อเข้าสู่สมัยของราเชนทรที่ 1 ผู้ซึ่งเป็นโอรส ราเชนทรได้สืบต่อนโยบายการขยาย
                   ดินแดนจากพระราชบิดาเพื่อให้อำนาจของโจฬะยิ่งใหญ่มากขึ้น พระองค์สามารถผนวกดินแดน

                   ของปาณฑยะและเฉระในดินแดนใต้ไกลไว้ได้ทั้งหมด พระองค์พยายามโจมตีและปล้นสะดม
                   อาณาจักรจาลุกยะทางฝั่งตะวันตก จนต้องมีการทำข้อตกลงว่าให้ใช้แม่น้ำตุงคะภัทระ

                   (Tungabhadra) เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างอาณาจักรโจฬะและจาลุกยะ (แห่งกัลยะนะ)
                   ราเชนทรรุกคืบไปจนถึงกลิงคะและโอริสสา และมีชัยเหนือราชวงศ์ปาละ แต่พระองค์ไม่ได้ทรง
                   ยึดครองอาณาจักรของปาละ จุดประสงค์ของการโจมตีก็เพื่อประกาศเกียรติคุณให้ขจรขจายไป

                                       9
                   ในอินเดียเหนือเท่านั้น  กองเรือของพระองค์ยังเข้ารุกรานเมืองต่างๆของอาณาจักรศรีวิชัยใน
                                                                         10
                   เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดังปรากฏเรื่องราวในจารึกตันชอร์  อาจกล่าวได้ว่าราเชนทรที่ 1
                   ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในการสืบต่อความยิ่งใหญ่ของโจฬะตามแนวนโยบายของพระ
                   บิดาที่วางไว้ อย่างไรก็ดี ความรุ่งโรจน์ของโจฬะสิ้นสุดลงในปี  พ.ศ. 1801 (ค.ศ.1258) เมื่อ
                   กษัตริย์แห่งปาณฑยะบังคับให้ราเชนทร โจฬะที่ 3 ยอมรับอำนาจ หลังจากนั้นโจฬะก็กลายเป็น

                   ดินแดนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐอื่นจนกระทั่งต่างชาติเข้ามายึดครองอินเดียในเวลาต่อมา


                   ลักษณะสำคัญของราชวงศ์โจฬะในยุคกลางของอินเดียใต้ไกล
                          แม้ในอินเดียใต้ไกลจะปรากฏราชอาณาจักรที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ เฉระและปาณฑยะ แต่
                   ราชวงศ์โจฬะในยุคกลางถือว่ามีความโดดเด่นและมีบทบาทสำคัญในอินเดียใต้ไกลมากกว่าสอง

                   อาณาจักรแรกที่กล่าวถึง ดังนั้น ในที่นี้จึงจะขอกล่าวถึงลักษณะสำคัญของราชวงศ์โจฬะเท่านั้น
                          1)  ระบบการบริหารบ้านเมือง กษัตริย์ยังคงเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของรัฐ ตามลักษณะ



                                 8  L.P. Sharma. Ancient History of India, p. 297.
                                 9  Ibid., 298.
                                 10  จารึกเมืองตันชอร์ของพระเจ้าราเชนทรโจฬะที่ 1 สลักขึ้นระหว่าง พ.ศ. 1573-1576 กล่าวถึงการยกทัพเข้า
                   ปล้นสะดม เพื่อตัดทอนอำนาจของศรีวิชัย เมื่อปี พ.ศ.1568 ทั้งนี้เพราะศรีวิชัยดำเนินนโบายผูกขาดการคาทำให้โจฬะไม่พอใจ ความ
                                                                                     ้
                   ตอนหนึ่งในจารึกได้กล่าวถึงเมืองที่อยู่ภายใต้อำนาจของศรีวิชัยที่ราเชนทรได้ชัยชนะ เป็นต้นว่า มะไลยูร์ (Malaiyur) มายุระฑิงคม
                                                                                                     ั
                   (Mayuradingam) อิลังคาโศคัม (Ilangasogam) และกฑารัม (Kadaram)
   155   156   157   158   159   160   161   162   163   164   165