Page 155 - 001
P. 155

144


                   กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีอาณาเขตติดชายฝั่งทะเล ทำให้อิทธิพลศาสนาและศิลปกรรม

                   ของปาละสามารถเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งทางบกและทางทะเลได้โดยง่าย ดังปรากฏ
                   หลักฐานในงานศิลปกรรมในอาณาจักรต่างๆของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็น
                   อาณาจักรชวาภาคกลางและศรีวิชัย อาณาจักรทวารวดี อาณาจักรศรีเกษตรและพกาม และ
                                                                                             ุ
                   อาณาจักรเขมร ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ภูมิภาคยังปรากฏอยู่ในจารึกนาลันทา (กำหนดอายุใน
                                                                                           ื่
                   ราวพ.ศ. 1403 หรือ ค.ศ. 860) ที่ได้กล่าวว่า พระเจ้าเทวะปาละได้บริจาคที่ดินเพอให้พระเจ้า
                   พาลบุตร (Balaputra) มหาราชาแห่งราชวงศ์ไศเลนทร์ได้สร้างวัดที่นาลันทา
                          ภายหลังเทวะปาละ ผู้ปกครององค์ต่อๆมามีความอ่อนแอมาก ดังนั้น พื้นที่อันกว้างใหญ่
                   ของราชวงศ์ปาละจึงตกไปเป็นของราชวงศ์อื่น เมื่อราชวงศ์ปาละสิ้นสุดลง ราชวงศ์เสนะ (Sena

                   Dynasty) ได้ครอบครองพนที่ในแถบเบงกอลต่อมา กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในราชวงศ์นี้ได้แก่ วิชัย
                                           ื้
                   เสนะ (พ.ศ. 1638 – 1701; ค.ศ. 1095-1158) ราชวงศ์เสนะสิ้นสุดลงในราวพุทธศตวรรษที่ 18

                   หลังจากนั้นพื้นที่ในแถบเบงกอลจึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์มุสลิมเตอร์ก (Turks)

                                                                                         ุ
                   สภาพทางการเมืองของอินเดียใต้ (เดคข่าน) และอินเดียใต้ไกลในช่วงราวพทธศตวรรษที่
                   12-18
                          สภาพทางการเมืองของอินเดียใต้ภายหลังราชวงศ์คุปตะมีความแตกแยกเป็นอาณาจักร

                                                                                        ื้
                   ต่างๆ เช่นเดียวกับทางอินเดียเหนือ และต่างต่อสู้แย่งชิงเพื่อพยายามรวบรวมพนที่ให้อยู่ภายใต้
                                 ี
                   การปกครองเพยงหนึ่งเดียว อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลา 600 ปีในช่วงยุคกลางก็ไม่มีใคร
                                                                             ี
                   สามารถครอบครองพนที่อันกว้างใหญ่ของอินเดียใต้ไว้ได้แต่เพยงผู้เดียว นอกจากนี้ ความ
                                       ื้
                   ขัดแย้งระหว่างกันดังกล่าวยังทำให้กองทัพมุสลิมซึ่งขณะนั้นสามารถยึดพื้นที่ของอินเดียเหนือไว้
                   ได้แล้ว และต้องการขยายอิทธิพลลงมาทางใต้บรรลุภารกิจได้โดยง่ายอีกด้วย

                          ประวัติศาสตร์ในช่วงยุคกลางของอินเดียใต้มักเกี่ยวพนกับสามอาณาจักรใหญ่ๆ ได้แก่
                                                                         ั
                   จาลุกยะแห่งพาทามิ (Chalukyas of Badami) หรือบางครั้งรู้จักกันในนามจาลุกยะตะวันตก
                                           ื้
                   (Western Chalukyas) (พนที่การปกครองของจาลุกยะได้รับการสืบต่อมาโดยราษฏรกูฏะ)
                   ปัลลวะแห่งกาญจี (Pallavas of Kanchi) และปาณฑยะแห่งมาทุไร (Pandayas of Madurai)
                                                                    4
                   ทั้งสามอาณาจักรนี้มีอำนาจขึ้นในราวพทธศตวรรษที่ 12  (คริสต์ศตวรรษที่ 6) และขัดแย้งต่อสู้
                                                     ุ
                   กันมาตลอด 600 ปี


















                                 4 Upinder Singh. A History of Ancient and Early Medieval India from the Stone Age to the 12th
                          Century, p. 553.
   150   151   152   153   154   155   156   157   158   159   160