Page 142 - 001
P. 142

131


                          สำหรับดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยที่ราชวงศ์คุปตะรุ่งเรืองนั้น เป็น

                                                       ั
                   ช่วงเวลาที่มีการรวมตัวของผู้คนในชาติพนธุ์ต่างๆ เข้าสู่การเป็นสังคมเมืองเรียบร้อยแล้ว บาง
                            ั
                   ชุมชนมีพฒนาการความเป็นเมืองมาตั้งแต่สมัยก่อนราชวงศ์คุปตะจะเจริญขึ้นด้วย โดยใน
                   ประเทศพม่าเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวปยู (Pyu) ตั้งรัฐศรีเกษตรบริเวณตอนกลางของประเทศ

                   พม่า บริเวณตอนกลางของประเทศไทยเป็นที่ตั้งของรัฐทวารวดี ในขณะที่บริเวณชายฝั่งอินโดจีน
                                ู
                   เป็นของพวกฟนัน (Funan) และหลินยี่ (Linyi) ส่วนบริเวณภาคใต้ของประเทศไทยประกอบไป
                   ด้วยอาณาจักรต่างๆ ตามชื่อที่ปรากฏเรียกในเอกสารจีน เช่น เตียนซุน จิ่วจื้อ กฏาหะ และผัน
                   ผัน เป็นต้น อาณาจักรเหล่านี้มีส่วนสำคัญยิ่งต่อการขยายตัวของอาณาจักรศรีวิชัยในเวลาต่อมา
                          อย่างไรก็ดี หลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงถึงความสัมพันธ์ทางการค้าในสมัยนี้ มักเป็น

                   โบราณวัตถุที่สื่อถึงความสัมพันธ์ทางการค้าในทางอ้อม เป็นต้นว่า ภาชนะดินเผาที่แสดงรูปแบบ
                   การได้รับอิทธิพลจากอินเดีย เช่น หม้อน้ำมีพวย (spouted pot) ภาชนะดินเผาที่ตกแต่งด้วย

                   เทคนิคการตกแต่งด้วยลายประทับ (stamped technique) ซึ่งมักเป็นลายดอกไม้หรือ
                   สัญลักษณ์ที่เป็นมงคลต่างๆของอินเดีย เหรียญกษาปณ์ที่มีจารึกและไม่มีจารึก (แต่มีสัญลักษณ์
                   มงคลของอินเดียปรากฏอยู่) และตราประทับที่ทำจากหิน แก้ว ดินเผา โลหะ ซึ่งส่วนใหญ่มัก

                   จารึกด้วยรูปอักษรปัลลวะ โบราณวัตถุเหล่านี้พบกระจายตัวอยู่ตามเมืองท่าและชุมชนโบราณใน
                   เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งสิ้น

                                                                               ั
                          สมัยราชวงศ์คุปตะอาจไม่ใช่ยุคสมัยแรกที่มีการติดต่อสัมพนธ์กันกับเอเชียตะวันออก
                   เฉียงใต้ แต่สมัยคุปตะเป็นสมัยที่ส่งต่อความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
                   อย่างชัดเจนที่สุด เห็นได้จากโบราณวัตถุเนื่องในศาสนา ภาษา ตัวอักษร และคติความเชื่อ โดย

                   เฉพาะงานศิลปกรรมที่สะท้อนให้เห็นอิทธิพลสกุลช่างงานศิลปะในสมัยคุปตะได้เป็นอย่างดี


                       4. ศาสนา สมัยคุปตะเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงในทุกๆด้าน ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของ
                   ศาสนา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ เป็นการฟื้นฟูและปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสังคมตามยุคสมัย
                   ให้มากขึ้น ผนวกกับลักษณะสังคมที่มีเสรีภาพทางศาสนา ทำให้ผู้คนไม่ได้ยึดติดในการที่จะต้อง

                   นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งไปตลอดชีวิต แต่ละศาสนาจึงต้องสร้างความสนใจทั้งในเรื่องปรัชญา
                   คำสอนและพิธีกรรมเพื่อดึงดูดผู้คนให้มาสนใจนับถือ ดังจะกล่าวถึงในรายละเอียดต่อไป


                              4.1 ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดในเรื่องของการ
                   ฟื้นฟูและจัดระเบียบคำสอนใหม่ มีการปรับปรุงคำสอนให้สอดคล้องกับหลักศีลธรรมและเหตุผล

                   มากขึ้น นอกจากนี้ การซึมซับอิทธิพลจากต่างชาติไม่ว่าจะเป็นกรีก หรือ ศกะก็ช่วยทำให้ศาสนา
                   ฮินดูในยุคนี้มีความน่าดึงดูดสำหรับกลุ่มคนที่ค้นหาความหมายของการดำรงชีวิต ตัวอย่างของ

                                     ู
                                                                          ื่
                   ความพยายามฟนฟศาสนาอย่างหนึ่งคือ การเขียนบทความเพอเชิดชูศาสนา ดังเช่น สังการะ
                                 ื้
                                                                                                     ื่
                   (Sankara) ผู้ที่เป็นนักปรัชญา (Philosopher) และปัญญาชนในยุคนั้นได้เขียนบทความเพอ
                   ส่งเสริมคัมภีร์ต่างๆในศาสนาฮินดู ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์พระเวท อุปนิษัทหรือภควัทคีตา สังการะ
                   เชิดชูความดีงามของศาสนาฮินดูให้เด่นชัด เน้นการดำเนินชีวิตของมนุษย์มากกว่าการทำ
   137   138   139   140   141   142   143   144   145   146   147