Page 100 - 001
P. 100

89


                   สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้นว่า แหล่งโบราณคดีตวงถา

                   แมน (Taungthaman) ในประเทศพม่า แหล่งโบราณคดีดอนตาเพชร บริเวณภาคกลางของ
                   ประเทศไทย แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย แหล่ง
                   โบราณคดีเขาสามแก้ว ภาคใต้ของประเทศไทย แหล่งโบราณคดีบ้านโซด ประเทศลาว แหล่ง

                   โบราณคดีไดลาญในวัฒนธรรมซาหุญ ประเทศเวียดนาม และกลุ่มถ้ำตาบอนบนเกาะปาลาวัน
                                   22
                   ประเทศฟิลิปปินส์
                                                 ่
                          การติดต่อกันทางบกนั้นพอค้าชาวอินเดียสามารถเดินทางผ่านแคว้นเบงกอลตะวันตก
                   ผ่านอัสสัม มณีปุระ แล้วผ่านพม่าเข้าไปยังกลุ่มประเทศทางตะวันออกไกลได้ การติดต่อกันทาง
                   บกคงจะมีมานานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์มาแล้ว ส่วนการติดต่อค้าขายกันทางเรือ สินค้า

                   ต่างๆจะผ่านเส้นทางหลวงเข้ามาสู่เมืองปาฏลีบุตร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร แล้วจึงส่งไป
                   เมืองท่าปากแม่น้ำคงคาคือเมืองตามรลิปติ (ตัมลุก) จากเมืองตามรลิปติเรือสามารถแล่นข้าม

                   อ่าวเบงกอลมาขึ้นบกที่ทะวายผ่านด่านเจดีย์ 3 องค์ เข้าไปในเขตจังหวัดกาญจนบุรีหรือไปตาม
                   ลำน้ำแม่กลองไปลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากเมืองตามรลิปติแล้ว ยังมีเมืองท่าอีกหลายเมืองที่
                   รุ่งเรืองขึ้นจากการค้าขายระหว่างอินเดียกับโลกตะวันตกและโลกตะวันออก เมืองท่าทางฝั่ง

                   ตะวันตกที่สำคัญมีเมืองศูรปารกะ (โสปะระ) ภรุกัจฉะ (หรือบาริกาซา) จากเมืองท่าดังกล่าว
                   สามารถแล่นเรือเข้ามาระหว่างหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ไปขึ้นบกที่ตะกั่วป่าหรือตรัง (รวม

                   คลองท่อม จังหวัดกระบี่) แล้วข้ามไปยังฝั่งตะวันออกได้หลายเส้นทาง (หรือจากไทรบุรีไป
                                                                           23
                   สงขลา) หรือแล่นผ่านช่องแคบมะละกาและซุนดาไปยังอ่าวไทย


                   ราชวงศ์ศุงคะ (Sunga Dynasty)
                          เมื่อ 184 ปีก่อนคริสตกาล พระเจ้าพฤหัทรถกษัตริย์แห่งราชวงศ์โมริยะถูกนายพลปุษย

                   มิตรศุงคะผู้บังคับบัญชาการกองทัพของพระองค์ปลงพระชนม์ ปุษยมิตรได้ยึดบัลลังก์แล้ว
                                                        ี
                   สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ปกครองปาฏลบุตรต่อไป เป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์โมริยะที่ยิ่งใหญ่และ
                   เริ่มต้นศักราชใหม่ด้วยราชวงศ์ศุงคะต่อมา หลังจากที่ปุษยมิตรมีอำนาจได้ไม่นาน พระองค์ได้

                   ทรงพยายามรวบรวมแว่นแคว้นที่แตกแยกกระจัดกระจายให้กลับมารวมกันอีกครั้ง อย่างไรก็ดี
                   อาณาจักรของศุงคะก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่เทียบเท่าโมริยะ แว่นแคว้นที่อยู่ภายใต้การปกครองของศุงคะ

                   เป็นการรวมตัวกันหลวมๆ ไม่ได้ปกครองเป็นจักรวรรดิใหญ่และโยงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางแบบ
                   ราชวงศ์โมริยะ บริเวณที่อยู่ศูนย์กลางและใกล้ศูนย์กลางกษัตริย์อาจปกครองโดยตรง แต่พื้นที่ที่
                   อยู่ไกลออกไปจะมีลักษณะเป็นประเทศราช บางรัฐมีอำนาจปกครองตนเองมากพอที่จะออก

                   เหรียญกษาปณ์ไว้ใช้เอง ราชวงศ์ศุงคะจึงไม่ได้ครอบครองดินแดนกว้างใหญ่ทั้งหมด การ
                   แตกแยกออกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อยในบริเวณภาคเหนือของอินเดียนี้เอง เปิดโอกาสให้ชนเผ่า

                   ต่างๆจากภายนอกเข้ามารุกรานและปกครองดินแดนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย
                   ได้เป็นผลสำเร็จ




                          22  ผาสุข อินทราวุธ. สุวรรณภูมิจากหลักฐานทางโบราณคดี, หน้า 51.
                          23  เรื่องเดิม, หน้า 47.
   95   96   97   98   99   100   101   102   103   104   105