Page 95 - 001
P. 95
84
สรรเสริญเยินยออานุภาพของจักรพรรดิต่าง ๆ เกี่ยวกับชัยชนะในสงคราม จำนวนประชากรเผ่า
ต่าง ๆ ที่อยู่ใต้อำนาจของพระองค์ไม่ได้จารึกคำสั่งสอนดังเช่นจารึกเสาพระเจ้าอโศก
จากจารึกดังกล่าวเราทราบว่า ในตอนต้นรัชกาลพระเจ้าอโศกทรงเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่
ยกทัพไปปราบปรามเมืองใหญ่น้อยต่าง ๆ เพื่อขยายอาณาจักรของพระองค์ให้กว้างขวางออกไป
ี
อีกเพราะแม้อาณาจักรโมริยะจะมีอาณาเขตกว้างใหญ่ แต่ยังเหลือเพยงอาณาเขตด้านทิศ
ตะวันออกเฉียงใต้และส่วนหนึ่งของดินแดนทางทิศใต้เท่านั้นที่ยังไม่ได้ขึ้นต่ออำนาจของพระองค์
ดังนั้น พระองค์จึงมีความใฝ่ฝันจะรวบรวมอินเดียทั้งหมดให้อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาล
สูงสุดเพียงรัฐบาลเดียว พระองค์ดำเนินนโยบายการขยายอินเดียโดยการทำสงครามอยู่เป็นเวลา
ถึง 8 ปี ตั้งแต่เริ่มครองราชย์ จนกระทั่งปีที่ 8 ที่พระองค์ทรงยกทัพไปปราบ เมืองกลิงคะ
(Kalinga) ปัจจุบันคือแคว้นโอริสสา การทำสงครามในครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ที่
ทำให้พระองค์ต้องเปลี่ยนนโยบายในการปกครอง กล่าวคือในการรบครั้งนี้ ชาวกลิงคะถูกฆ่า
ตายเป็นจำนวนมากและที่ถูกจับเป็นเชลยอีกมากมาย ผลที่เกิดขึ้นทำให้พระองค์สังเวชพระทัย
และทรงเศร้าสลดเป็นอย่างยิ่งที่เห็นคนถูกฆ่าตายอย่างมากมายเช่นกัน และทรงสำนึกว่าการได้
ชัยชนะแต่ละครั้งนั้นต้องแลกกับชีวิตมนุษย์และความทุกข์ยากหลายเท่า พระองค์จึงหันหน้าเข้า
ุ
สู่ร่มพระพทธศาสนา ปรารถนาจะให้มีแต่สันติสุขในโลก และตัดสินพระทัยเลิกทำสงครามแต่
ทรงปราบปรามเมืองต่าง ๆ ด้วยธรรม พระองค์ทรงยึดหลักสันติและธรรมของพระพทธเจ้าใน
ุ
ุ
การดำเนินนโยบายปกครองพระเจ้าอโศกใช้วิธีเผยแพร่คำสอนของพระพทธเจ้าโดยโปรดให้
จารึกคำสอนของพระพทธเจ้าลงบนเสาหินมากมาย แล้วนำไปวางไว้ทั่วอาณาจักร ตั้งแต่แถบ
ุ
อัฟกานิสถานลงไปถึงแคว้นไมซอร์
ุ
นอกจากการนำศาสนาพทธมาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว พระองค์ยังจัดให้มีการทำ
สังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ที่เมืองปาฏลีบุตร ผลของการสังคายนาคณะสงฆ์ได้เกิด
การแยกตัวออกเป็น18-20 นิกาย กลุ่มที่สำคัญมี 2 กลุ่มด้วยกันคือ กลุ่มที่เรียกตนเองว่า เถร
วาท คือกลุ่มที่ยึดหลักวินัยเดิมที่พระพทธเจ้าได้วางไว้ และถือว่าวัตถุ 10 ประการ ไม่ควร
ุ
14
เปลี่ยนแปลง และกลุ่มที่เรียกว่า อาจาริยวาท คือกลุ่มที่ถือตามอาจารย์ที่ได้แก้ไขดัดแปลงวินัย
ของพระพุทธเจ้าในบางข้อให้ถือปฏิบัติได้ (เช่น เรื่องวัตถุ 10 ประการ) เมื่อการสังคายนาสิ้นสุด
15
ลง พระองค์จึงได้ส่งสมณทูตไปเผยแพร่พระพุทธศาสนายังประเทศต่างๆ
14 วัตถุ 10 ประการหรือพระวินัยบัญญัติ 10 ประการเป็นข้อห้ามเล็กน้อยที่ภิกษุบางกลุ่มเห็นว่าสามารถือปฏิบัติได้ ได้แก่ 1)
ห้ามภิกษุสะสมเกลือไว้ เพื่อไปใส่เวลาฉันอาหารในวันต่อไป 2) ห้ามภิกษุฉันอาหารตั้งแต่เที่ยงไปแล้ว 3) ห้ามภิกษุฉันอาหารเป็นครั้งที่ 2
ี
อีก หลังจากที่ฉันเสร็จเรียบร้อยออกไปจากวัดแล้ว 4) ห้ามภิกษุทำอุโบสถในวัดกำหนดเสมาเดียวกันมากกว่าหนึ่งครั้งในวันเดยวกัน 5)
ห้ามภิกษุสงฆ์เพิกเฉยต่อการบอกลาสงฆ์ก่อนการทำอุโบสถ 6) ห้ามภิกษุสงฆ์ปฏิบัติผิดกฎตามที่อุปัชฌาย์อาจารย์พากันปฏิบัติกันมา
ก่อน 7) นมสดที่แปรสภาพ พระภิกษุฉันอาหารแล้วจะดื่มนมอันเป็นของเหลือไม่ได้ 8) ห้ามภิกษุดื่มน้ำดองที่มึนเมา 9) ห้ามภิกษุใช้ผ้าปู
นั่งที่ยังเย็บตะเข็บไม่เรียบร้อย 10) ห้ามภิกษุรับสตางค์หรือธนบัตรใดๆทั้งสิ้นดูเพิ่มเติม ผาสุข อินทราวุธ. (2543). พุทธปฏิมาฝ่าย
มหายาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อักษรสมัย, หน้า 1.
15 เป็นที่น่าสังเกตว่า ในจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลในลักษณะปฐมภูมิกลับไม่ได้กล่าวถึงการส่งสมณ
ทูตมายังดินแดนสุวรรณภูมิ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) เลย แต่ข้อความที่กล่าวถึงการส่งสมณทูตมายังดินแดนสุวรรณภูมิกลับปรากฏอยู่
์
ในคมภีร์มหาวงศและทีปวงศ์ ซงเป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาของลังกาที่แต่งขึ้นในภายหลัง (มหาวงศแต่งขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่
ึ่
ั
์
ิ
์
11-12 ส่วนทีปวงศแต่งขึ้นในระหว่าง พ.ศ.890-950 หรือพุทธศตวรรษที่ 9-10) อันถือว่าเป็นข้อมูลในลักษณะของทุติยภูมิ ดูเพิ่มเตม
ผาสุข อินทราวุธ. (2548). สุวรรณภูมิจากหลักฐานทางโบราณคดี. กรุงเทพฯ: ภาควิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, หน้า 16-25.