Page 93 - 001
P. 93

82


                   ประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์โมริยะ-ศุงคะ

                                                                                      ุ
                          ยุคเหล็กตอนปลายหรือสมัยราชวงศ์โมริยะ ถือกำเนิดขึ้นในช่วงราวพทธศตวรรษที่ 3-5
                   (350-50ปีก่อนคริสตกาล) ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์โมริยะคือ พระเจ้าจันทรคุปต์ พระองค์เป็นผู้
                   ล้มราชวงศ์นันทะ และเข้ายึดครองเมืองปาฏลีบุตร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธ หลังจากนั้น

                   พระองค์ทรงพยายามขยายพรมแดนแห่งจักรวรรดิของพระองค์ให้กว้างใหญ่ออกไปทุกทิศ
                   นอกจากนี้ พระองค์ยังเป็นผู้ขับไล่พวกกรีกออกไปจากภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย แต่ยัง

                   มีอิทธิพลของกรีกบางส่วน เช่น นายพลซิลิอุกุส นิกาเตอร์ ผู้ซึ่งเคยเป็นนายทัพของพระเจ้าอเล็ก
                                        ื้
                   ซานเดอร์และได้ครองพนที่แถบแบคเตรียแทนหลังจากที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์สวรรคต นิกา
                   เตอร์ขอทำสัญญาสงบศึกกับพระเจ้าจันทรคุปต์โดยยอมคืนดินแดนที่เป็นอัฟกานิสถานใน

                   ปัจจุบันให้ หลังจากนั้น นายพลนิกาเตอร์ได้ส่งทูต คือ เมกาเทเนสมาประจำราชสำนักของพระ
                   เจ้าจันทรคุปต์

                          เมกาเทเนสผู้นี้เองที่ได้บันทึกเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆในอินเดียไว้โดยละเอียด แต่
                   เป็นที่น่าเสียดายว่าผลงานของท่านได้สูญหายไป เหลือแต่ผลงานของชาวกรีกรุ่นหลังๆที่ได้
                   อ้างอิงถึงผลงานเดิมของเมกาเทเนส ดังนั้น จึงสามารถรวบรวมผลงานของเขาขึ้นมาใหม่ได้ แม้

                   จะไม่สมบูรณ์แต่ก็นับว่าเป็นผลงานที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับอินเดียโดย
                                         13
                   ชาวต่างประเทศฉบับแรก
                          จากบันทึกของเมกาเทเนสนี้เองที่ทำให้เราทราบเรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ใน
                   อินเดียอยางละเอียด จากบันทึกดังกล่าวทำให้เราทราบว่ากษัตริย์ราชวงศ์โมริยะจัดระเบียบการ
                            ่
                   ปกครองประเทศไว้อย่างเข้มแข็งและรัดกุมมาก  ในการบริหารงานปกครอง พระองค์มีคณะที่

                   ปรึกษาและข้าราชการซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ต่าง ๆ กับกษัตริย์จันทรคุปต์มีอาณาจักรที่
                   กว้างใหญ่ ดังนั้นการปกครองตามท้องถิ่นจึงเป็นเรื่องสำคัญ กล่าวคือมีการแบ่งเขตออกเป็น

                   จังหวัดและอำเภอ แต่ละจังหวัดมีข้าหลวงใหญ่ปกครองในสมัยนี้มีการปกครองที่เข้มงวดโดย
                   พยายามดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง นั่นคือมีการควบคุมดูแลข้าหลวงตามจังหวัดต่าง ๆ อย่าง
                   ใกล้ชิด โดยส่งคณะผู้ตรวจราชการไปจากเมืองหลวง คณะผู้ตรวจราชการนี้จะทำหน้าที่เสนอ

                   รายงานต่อกษัตริย์โดยตรง ระบบราชการในสมัยนี้มีความก้าวหน้าพอสมควรทีเดียว เช่น มีการ
                   สำรวจสำมโนครัว อสังหาริมทรัพย์ ชนต่างชาติที่จะเดินทางผ่านก็จำเป็นต้องมีใบผ่านทางด้วย

                   คล้ายคลึงกับระบบในปัจจุบันนั้นเอง
                          ทางด้านการทหารเมกาเทเนสบรรยายไว้ว่าพระเจ้าจันทรคุปต์มีกองทหารเท้า 600,000
                   คน  ทหารม้า 30,000 คน ช้าง 9,000 เชือก  มีผู้บังคับบัญชาชั้นสูง 30 นาย อาวุธที่ใช้

                   ประจำตัวทหารเดินเท้าเป็นธนูยาวเท่าตัวคนสามารถยิงทะลุเกราะทุกชนิดได้หมด  อย่างไรก็
                   ตามทหารรักษาพระองค์ล้วนแต่เป็นทหารหญิงเพราะกษัตริย์เกรงว่าทหารชายอาจจะไม่

                   จงรักภักดีเพียงพอ ฉะนั้นเวลาจันทรคุปต์เสด็จออกจากวังทหารหญิงรักษาพระองค์จะเรียงราย
                   อยู่รอบข้าง ทางที่จะเสด็จพระราชดำเนินผ่านจะขึงเชือกกั้นประชาชนมิให้เข้าใกล้ขณะเสด็จ
                                                                     ั
                   ออกว่าราชการ พระองค์จะมีนางกำนัลสาว ๆ ถวายงานพดและกั้นกรดเหนือพระเศียร



                          13  ผาสุข อินทราวุธ. ประวัติศาสตร์อินเดียโบราณ, หน้า 33.
   88   89   90   91   92   93   94   95   96   97   98