Page 272 - 001
P. 272
261
ั
จารึกที่ยังหลงเหลืออยู่ แสดงให้เห็นถึงความสัมพนธ์กับราชวงศ์ไศเลนทร์อย่างใกล้ชิด เห็นได้
ื่
จากการที่มีการส่งพระภิกษุมาศึกษาที่นาลันทา และบริจาคพระราชสมบัติเพอก่อสร้างอาราม
ให้กับสงฆ์ในมหาวิทยาลัยด้วย
ลักษณะของประติมากรรมศิลปะปาละ
ประติมากรรมในสมัยปาละมีรูปแบบศิลปะแบบคุปตะเป็นรากฐาน และยังคงพยายาม
รักษารูปแบบศิลปะแบบเดิมเอาไว้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในช่วงเวลา 350 ปีที่ศิลปะปาละ
เจริญอยู่นั้น วิวัฒนาการของศิลปะมีขึ้นภายในท้องถิ่น ไม่มีอิทธิพลหรือแรงบันดาลใจจากที่อื่น
20
มาเกี่ยวข้องเลย และแม้ประติมากรรมของปาละจะถูกสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพุทธและศาสนา
ฮินดู แต่ศาสนาพทธจะมีมากกว่า นอกจากนี้รูปเคารพยังทำมาจากวัสดุที่มีความหลากหลาย
ุ
ได้แก่ ดินเผา หินบะซอล์ทสีดำหรือเทา และสำริด
ศิลปะปาละนิยมทำแผ่นหลัง และมักใส่รายละเอียดลงบนแผ่นหลัง เช่น บริวาร เครื่อง
ประกอบพระยศ ประภามณฑล และเครื่องประกอบประติมานวิทยา ฯลฯ ระยะแรกแผ่นหลังมี
ปลายด้านบนโค้งมน ต่อมากลายเป็นแผ่นหลังปลายแหลม ในสมัยปาละตอนปลาย พระพุทธรูป
ทรงเครื่องได้รับความนิยมขึ้น มักทรง “เทริดขนนก” ที่ประกอบจากตาบสามเหลี่ยมซ้อนกัน 5
แผ่น เทริดขนนกนี้ถือเป็นลักษณะเฉพาะในศิลปะปาละ
21
ในส่วนของพระพทธรูปนั้น หากเป็นพระพทธรูปยืนมักพบว่านิยมการยืนแบบสมภังค์
ุ
ุ
มากกว่า พร้อมทั้งมีบริวารขนาบทั้งสองข้าง พบทั้งอภัยมุทราและวรมุทราเป็นหลัก โดยอภัย
มุทราได้รับความนิยมมากกว่า ในขณะที่ถ้าเป็นพระพทธรูปประทับนั่งจะนิยมในท่าภูมิสปรรศ
ุ
มุทรา ซึ่งจะนั่งในท่าวัชราสนะเสมอ หากเป็นธรรมจักรมุทราซึ่งเป็นท่าที่นิยมรองลงมาอาจอยู่ใน
ท่าวัชราสนะหรือประลัมพปาทาสนะก็ได้ ในศิลปะปาละนั้นเกือบจะเป็นกฎเกณฑว่า
์
ุ
พระพทธรูปยืนจะห่มจีวรแบบห่มคลุม ส่วนพระพทธรูปนั่งจะห่มเฉียงเสมอ จีวรมีทั้งแบบเรียบ
ุ
และแบบริ้วอยู่ร่วมสมัยกัน ทั้งหมดเป็นลักษณะผ้าบางแนบเนื้อคล้ายผ้าเปียกน้ำ แสดงถึง
อิทธิพลของศิลปะแบบคุปตะ สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับลักษณะจีวรในศิลปะปาละ คือ การประดิษฐ์
รอยยับของผ้าบริเวณเฉพาะปลายขอบผ้าด้านล่างที่เรียกว่า “เขี้ยวตะขาบ” โดยจะอยู่ใน
ตำแหน่งขอบจีวรด้านล่างสุดของพระพทธรูปยืน และที่ชายจีวรพาดพระอังสาซ้ายของ
ุ
ุ
พระพทธรูปประทับนั่ง เขี้ยวตะขาบนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในศิลปะปาละ และส่งอิทธิพลให้แก่
22
บรรดาศิลปะต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
พระพุทธรูปทรงเครื่องได้ปรากฏชัดเจนขึ้นในศิลปะปาละ โดยมักทรงเครื่องประดับไว้ 3
ตำแหน่งได้แก่
1) เครื่องประดับเหนือพระเศียร ได้แก่ มงกฎ “เทริดขนนก”
2) เครื่องประดับพระกรรณ มักประดับด้วยดอกไม้กลมที่ด้านบนและทรงกุณฑลที่
ด้านล่างเสมอ
3) เครื่องประดับพระศอ ได้แก่กรองศอสวมทับบนจีวร เส้นด้านในจะเป็นสร้อยไข่มุก
20 จิรัสสา คชาชีวะ, โบราณคดีอินเดีย, หน้า 490.
21 เชษฐ์ ติงสัญชลี, พระพุทธรูปอินเดย, หน้า 28.
ี
22 เรื่องเดิม, หน้า 178-180.