Page 271 - 001
P. 271
260
นาถมาอย่างมาก กล่าวคือ จีวรบางแนบพระองค์ ห่มคลุม หรือห่มเฉียง (ห่มเปิดพระอังสาขวามี
ุ
ขอบจีวรพาดผ่านพระอุระลงมาเป็นเส้นเฉียง) หากเป็นพระพทธรูปยืน วรมุทรา (ประทานพร)
จะได้รับความนิยมสูงสุด แต่หากเป็นพระพทธรูปนั่ง มุทราที่ได้รับความนิยมคือ ธรรมจักรมุทรา
ุ
(ปฐมเทศนา)
นอกจากนี้ พระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาทที่มีน้อยในสมัยก่อนก็เป็นที่นิยมกันมาก
ขึ้นในสมัยนี้ ดังปรากฏให้เห็นจากที่ถ้ำอชันตา เอลโลรา ฯลฯ และแผ่ไปยังประเทศต่างๆ ใน
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ศิลปะทวารวดีในประเทศไทย ศิลปะเขมรสมัยก่อนเมืองพระนคร
ประเทศกัมพชา และจันทิเมนดุต ที่เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้น ทั้งนี้ การสร้าง
ู
พระพุทธรูปในสมัยนี้ในยุคแรกมักสร้างจากหินบะซอลต์ เนื่องจากหินในรัฐมหาราษฏร์ส่วนมาก
เป็นหินบะซอลต์นั่นเอง
ศิลปะอินเดียแบบปาละ-เสนะ
ภายหลังการแตกสลายของราชวงศ์คุปตะ อินเดียถูกแบ่งไปตามขั้วอำนาจของราชวงศ์
ิ
ต่างๆในแต่ละพนที่ ราชวงศ์ปาละมีอำนาจขึ้นในช่วงพทธศตวรรษที่ 13-17 บริเวณรัฐพหาร
ุ
ื้
และเบงกอล ในช่วงเวลานี้ ศาสนาพุทธได้เสื่อมลงและเริ่มหายไปจากอินเดียแล้ว ศิลปะเนื่องใน
ศาสนาพุทธบริเวณภาคเหนือของอินเดียจึงหยุดชะงักลงและถูกพัฒนาขึ้นในช่วงสุดท้ายจากสกุล
ช่างปาละนี่เอง
ภาพที่ 112 พระพทธรูปนั่งห้อยพระบาท ถ้ำอชันตา
ุ
ที่มา : https://commons.wikimedia.org/[Online], accessed 29 October 2018.
ุ
ุ
อย่างไรก็ดี ศาสนาพทธที่เจริญขึ้นในสมัยปาละนี้เป็นพทธนิกายมหายาน ลัทธิตันตระ
ซึ่งผสมผสานความเชื่อแบบฮินดูไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดในเรื่องศักติ ธยานิพุทธ และอาทิ
19
พทธ โดยมีศูนย์กลางการศึกษาศาสนาที่สำคัญ คือ มหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งจากการค้นพบ
ุ
19 Benjamin Rowland, The Art and Architecture of India, p. 143.