Page 112 - 001
P. 112
101
เมืองตักษิลา และอินเดียภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ตั้งราชวงศ์กุษาณะขึ้นในปี พ.ศ. 607 (ค.ศ.
ิ
64) โดยมีกุจุลา กัดฟส (Kujula Kadphises) เป็นปฐมกษัตริย์องค์แรก ภายใต้การนำของ
พระองค์ได้เริ่มขยายอาณาเขตการปกครองไปอย่างกว้างขวาง โดยการรุกรานเปอร์เซียรวมไปถึง
การขับไล่พวกกรีกทางภาคตะวันตกของอินเดีย ราชวงศ์กุษาณะได้สร้างความเจริญทาง
วัฒนธรรมให้แก่อัฟกานิสถานและอินเดียภาคเหนือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในรัชสมัยของ
พระเจ้ากนิษกะ ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์ที่สามในราชวงศ์กุษาณะ พระองค์ได้ขยายพื้นที่การปกครอง
ครอบคลุมบริเวณเอเชียกลาง อัฟกานิสถาน อินเดียภาคตะวันตกเฉียงเหนือและภาคเหนือไป
จนถึงแคว้นเบงกอล (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย)
พระเจ้ากนิษกะได้สร้างเมืองหลวงไว้ในอัฟกานิสถาน 1 แห่ง และในอินเดียอีก 1 แห่ง
ในอัฟกานิสถานได้สร้างเมืองกปิศะ (Kapis’a) ปัจจุบันคือเมืองเบคราม (Begram) บนฝั่งแม่น้ำ
คอร์แบน (Ghorband River) เป็นเมืองหลวงทางตอนเหนือของอาณาจักร และได้สร้างเมือง
มถุรา (Mathura) บนฝั่งแม่น้ำยมุนา (Yamuna River) ตอนกลางของประเทศอินเดียภาคเหนือ
2
เพื่อให้เป็นเมืองหลวงทางตอนใต้ของอาณาจักรของพระองค์
อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของกุษาณะเริ่มล่มสลายลงหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าวสุเทวะ
ในปีพ.ศ. 769 (ค.ศ. 226) โดยการปกครองถูกแบ่งเป็นสองส่วน คือ ฝั่งตะวันตกและฝั่ง
ื้
ตะวันออก ซึ่งในไม่ช้าราชวงศ์ซัสซาเนี่ยนของเปอร์เซียก็เข้ามาครอบครองพนที่ฝั่งตะวันตกได้
ทั้งหมด ในขณะที่อาณาจักรทางด้านฝั่งตะวันออก ซึ่งมีที่มั่นอยู่ที่เมืองปัญจาบ ดินแดนเหล่านี้ก็
แยกตัวออกเป็นอิสระภายใต้การนำของราชวงศ์ท้องถิ่นต่างๆ เช่น ราชวง์เยาเธ ะ
ย
(Yaudheyas) และเมื่อราชวงศ์คุปตะที่เริ่มมีอำนาจขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 9 (คริสต์ศตวรรษ
ที่ 4) รัฐบาลของกุษาณะในปัญจาบและคุชราตก็ถูกล้มล้างลงโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ดีในราวปี
ื้
พ.ศ. 903 ขุนนางในราชวงศ์กุษาณะแต่เดิมชื่อว่า กิดาระ (Kidara) ได้รื้อฟนราชวงศ์ขึ้นมาใหม่
และก่อตั้งอาณาจักรกิดาไรต์ (Kidarite) ขึ้น ซึ่งแม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่าอาณาจักรเดิม แต่ก็มี
ความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก อาณาจักรแห่งใหม่นี้ถูกพวกฮั่นขาว (White Huns) โจมตีใน
ที่สุด
2 ผาสุข อินทราวุธ. (2545). อัฟกานิสถาน แหล่งผลิตพระพุทธรูปองค์แรกในโลก, ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาที่แผ่ไปเอเชีย
กลาง-จีนเกาหลี-ญี่ปุ่น. อัฟกานิสถาน แหล่งผลิตพระพุทธรูปองค์แรกในโลก, กรุงเทพฯ: มติชน, หน้า 30.