Page 24 - 067
P. 24

10






                                CH COOH                    CH  + CO      ∆Gº = -31.0     kJ/mol   (3)
                                                           4
                                    3
                                                                  2
                                4H  + CO  2                               CH  + 2H O   ∆Gº = -135.0   kJ/mol   (4)
                                    2
                                                           4
                                                                 2

                                                                                   ๊
                               จากสมการที่ (3) กรดอะซิติกจะถูกส่งต่อไปยังขั้นตอนการผลิตแกสมีเทน พบในจุลินทรีย์กลุ่ม
                                                                                      ๊
                       Aceticlastic Methanogens ที่เปลี่ยนได้เฉพาะกรดอะซิติกให้เป็นผลผลิตแกสมีเทน ในขณะเดียวกัน
                                         ๊
                         ๊
                       แกสไฮโดรเจน และแกสคาร์บอนไดออกไซด์ถูกเปลี่ยนไปเป็นแก๊สมีเทนได้เช่นกัน พบในกลุ่มจุลินทรีย์
                                                                        ั
                       Hydrogenotrophic  Methanogens  ซึ่งได้แก่จุลินทรีย์สายพนธุ์  Methanobrevibacter  arboriphilus
                       ที่สามารถเปลี่ยนได้เฉพาะแก๊สไฮโดรเจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ไปเป็นแก๊สมีเทน ดังแสดงใน
                       สมการที่ (4)  โดย Stams et al. (2005) ได้กล่าวว่าจุลินทรีย์ในกลุ่ม Methanosarcina spp. นั้น
                       สามารถเปลี่ยนได้ทั้งกรดอะซิติกและแก๊สไฮโดรเจน และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ให้ผลผลิตเป็นแก๊ส
                       มีเทน
                              ข้อได้เปรียบของกระบวนการย่อยสลายแบบไร้อากาศสองขั้นตอน

                                (1) เพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยสลายได้สูงขึ้น เนื่องจากทั้งสองขั้นของกระบวนการย่อย
                       สลายแบบไร้อากาศถูกด้าเนินการอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต จึงเป็นผลให้ได้ปริมาณ
                       แก๊สเชื้อเพลิงสูงตามไปด้วย

                                (2) มีความเสถียรของกระบวนการสูง จึงสามารถย่อยสลายสารอินทรีย์ได้ที่มีอัตรา
                       บรรทุกสารอินทรีย์ที่สูงได้ สามารถย่อยสลายของเสียชีวมวลได้ในปริมาณมาก
                                (3) สามารถออกแบบถังปฏิกรณ์ให้มีขนาดเล็กลงได้ เป็นการลดงบประมาณในการสร้าง
                       ถังปฏิกรณ์
                                (4) ความเข้มข้นของแก๊สมีเทนในแก๊สชีวภาพสูงประมาณร้อยละ 65-75 ซึ่งสูงกว่าแก๊ส

                       มีเทนที่ได้จากกระบวนการย่อยสลายขั้นตอนเดียวเป็นร้อยละ 50-60
                                (5) มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสุทธิ


                         2.1.5 ถังปฏิกรณ์ย่อยสลายแบบไร้อากาศ
                              ถังปฏิกรณ์ย่อยสลายแบบไร้อากาศ (Conventional  anaerobic  digesters) ที่ใช้ส้าหรับ
                       การผลิตแก๊สชีวภาพได้แก่ถังปฏิกรณ์ชนิดแบทช์ และถังปฏิกรณ์ชนิดป้อน (กึ่ง) ต่อเนื่อง (Semi-
                       continuous  or  Continuous) โดยที่ถังปฏิกรณ์ชนิดป้อน (กึ่ง) ต่อเนื่องจะได้รับความนิยมมากกว่า

                       เนื่องจากสามารถควบคุมอตราการเจริญเติบโตสูงสุด (Maximum  growth  rate)  ของจุลินทรีย์ให้
                                             ั
                       สม่้าเสมอได้ในสภาวะการปฏิบัติการแบบคงตัว (Steady  state)  ด้วยวิธีการควบคุมอตราการป้อน
                                                                                               ั
                       สารอินทรีย์เข้าถังปฏิกรณ์ ในขณะที่ถังปฏิกรณ์ชนิดแบทช์ไม่สามารถควบคุมได้เนื่องจากความเข้มข้น
                               ิ
                       ของสารอนทรีย์ภายในถังปฏิกรณ์จะเปลี่ยนตามเวลา (Boe,  2005) โดยทั่วไปแล้วถังปฏิกรณ์ชนิด
                       แบทช์จะใช้ส้าหรับการศึกษาศักยภาพการผลิตแก๊สมีเทน (Biomethane  potential:  BMP)  และ
                       จลนพลศาสตร์ของปฏิกิริยาซึ่งเป็นข้อมูลที่ส้าคัญส้าหรับการออกแบบถังปฏิกรณ์ชนิดป้อน  (กึ่ง)
                       ต่อเนื่อง (Angelidaki et al., 2005)
   19   20   21   22   23   24   25   26   27   28   29