Page 27 - 067
P. 27
13
ื่
สูงกว่าสาหร่ายขนาดใหญ่ชนิดอน ๆ โดยสาหร่ายขนาดใหญ่นั้นสามารถผลิตได้อย่างมีศักยภาพใน
ขั้นตอนสุดท้ายของการบ้าบัดน้้าเสียชุมชนเพื่อก้าจัดสารอาหาร งานวิจัยนี้ยังได้ประเมินการย่อยสลาย
ร่วมของสาหร่ายขนาดใหญ่กับสลัดจ์กัมมันต์เหลือทิ้งพบว่าการย่อยสลายร่วมระหว่างสาหร่ายร้อยละ
15 และสลัดจ์กัมมันต์เหลือทิ้งร้อยละ 85 นั้นมีความเป็นไปได้ โดยมีอตราการผลิตของมีเทนสูงกว่า
ั
การย่อยสลายของสลัดจ์กัมมันต์เหลือทิ้งเพียงอย่างเดียวถึงร้อยละ 26
Pastare et al. (2015) ศึกษาศักยภาพการผลิตมีเทนจากสาหร่ายพงชะโด
ุ
(Ceratophyllum demersum) ในถังปฏิกรณ์แบบแบทช์ (ขวดซีรัมขนาด 100 ml และมีปริมาตรใช้
ุ
งาน 60 ml) ที่สภาวะอุณหภูมิ 37 C และแปรผันอัตราส่วนผสมระหว่างสาหร่ายพงชะโดและกล้าเชื้อ
้
ที่อตราส่วน 1:3 1:5 และ 1:10 (VS Basis) ผลการผลิตมีเทนสูงสุด 471 L-CH /kg-VS ได้จากถัง
ั
4
ปฏิกรณ์ที่ใช้อัตราส่วนผสมระหว่างสาหร่ายพุงชะโดและกล้าเชื้อ 1:10 (VS Basis)
Koyama et al. (2014) พืชน้้าซึ่งรวมถึงพรรณไม้ใต้น้้าได้มีการขยายพนธุ์อย่างมากและ
ั
ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมของแหล่งน้้าจืดในหลาย ๆ ประเทศและได้มีการศึกษาการบ้าบัดอย่าง
ั
ยั่งยืน ในงานวิจัยนี้ พรรณไม้ใต้น้้า 5 สายพนธุ์ (Ceratophyllum demersum, Egeriadensa,
Elodea nuttallii, Potamogeton maackianus และ Potamogeton malaianus) ซึ่งมีอยู่ใน
ทะเลสาบ Biwa ประเทศญี่ปุ่น เป็นจ้านวนมากได้ถูกน้ามาใช้เป็นซับสเตรตในการย่อยสลายไร้อากาศ
เพื่อศึกษาองค์ประกอบทางเคมี และความสามารถในการย่อยสลายไร้อากาศ องค์ประกอบลิกนินของ
พรรณไม้ใต้น้้ามีปริมาณในช่วงกว้างระหว่างร้อยละ 3.2-20.7 ของปริมาณของแข็งทั้งหมด (TS) โดย
ขึ้นอยู่กับสายพนธุ์ของพรรณไม้ใต้น้้า นอกจากนี้พบว่าปริมาณลิกนินที่พบในพรรณไม้ใต้น้้ามีกรด
ั
hydroxycinnamic acids เป็นองค์ประกอบอยู่ร้อยละ 27.2-59.4 โดยลิกนินชนิดนี้สามารถแตก
สลายด้วยด่างได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับไม้ใหญ่ ผลผลิตได้มีเทนผันแปรตามสายพนธุ์ของพรรณไม้ใต้น้้า
ั
ในช่วง 161.2-360.8 mL-CH /g-VS ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนเป็นมีเทนของ C. demersum,
4
El. nuttallii, Eg. densa, P. maackianus และ P. malaianus เท่ากับร้อยละ 57.1 61.4 60.6
33.9 และ 72.2 ตามล้าดับ จากผลการทดลองได้บ่งชี้ว่า C. demersum, El. Nuttallii, Eg. densa,
และ P. malaianus มีความเป็นไปได้ในการย่อยสลายไร้อากาศเนื่องจากให้ผลผลิตได้มีเทนสูง
งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า ผลผลิตมีเทนจากพรรณไม้ใต้น้้าขึ้นอยู่กับปริมาณลิกนินเช่นเดียวกับชีวมวล
ลิกโนเซลลูโลสทั่วไป
Koyama et al. (2015) ศึกษาผลของการบ้าบัดเบื้องต้นด้วยวิธีเคมี-ความร้อนร่วมกับ
ั
ั
วิธีอลคาไลน์ต่อความสามารถย่อยสลายของพรรณไม้ใต้น้้าสองสายพนธุ์ ซึ่งมีปริมาณลิกนิกนินแตก
ต่างอย่างมีนัยส้าคัญ ประสิทธิภาพการย่อยสลายสูงสุดได้มาจากการใช้ปริมาณ NaOH 0.2 g/g-
ั
ั
้
TS substrate 80 C เป็นเวลา 3 ชั่วโมง ทั้งสองสายพนธุ์ การก้าจัดลิกนินด้วยวิธีอลคาไลน์สามารถ
ั
สังเกตเห็นได้ชัดเจนในสายพนธุ์ ที่มีองค์ประกอบลิกนิน (Potamogeton maackianus) เมื่อเทียบ
กับสายพนธุ์ที่มีลิกนินปริมาณต่้า (Egeria densa) กรด Ferulic ซึ่งเชื่อมระหว่างลิกนินและน้้าตาล
ั
โมเลกุลใหญ่มีปริมาณลดลงเมื่อเพมปริมาณ NaOH ดังนั้นจึงบ่งชี้ว่าสารอลคาไลน์สามารถก้าจัด
ิ่
ั
สารประกอบเชิงซ้อน lignin–ferulate ออกจากพื้นผิวของน้้าตาลโมเลกุลใหญ่ได้ ผลได้ของมีเทนจาก
P. maackianus ที่ผ่านการบ้าบัดเบื้องต้นเท่ากับ 243 ml-CH /g-VS มีค่าสูงกว่าร้อยละ 51 เทียบ
4
กับชุดที่ไม่มีการบ้าบัดเบื้องต้น ตรงกันข้ามกับผลได้มีเทนจาก E. densa ที่ผ่านการบ้าบัดเบื้องต้น มี

