Page 196 - 006
P. 196
185
ต่อไป จักรวรรดิโมกุลอ่อนแอลง แคว้นต่างๆเริ่มแยกตัวเป็นอิสระ ในขณะที่ราชวงศ์โมกุลเหลือ
อำนาจในการปกครองไม่มากนักนั่นเอง ในปีพ.ศ. 2282 (ค.ศ. 1739) กองทัพเปอร์เซียนำโดย
นาดีร์ ชาห์ (Nadir Shah) ได้ยกทัพเข้ามาโจมตีอินเดียและบุกมาจนถึงนครเดลี และได้ประหาร
ผู้คนและปล้นสะดมเอาทรัพย์สมบัติไปจากอินเดียเป็นจำนวนมาก การพ่ายแพ้ต่อนาดีร์ ชาห์ทำ
ให้จักรวรรดิโมกุลอ่อนกำลังลงอย่างแท้จริงจนเป็นเหตุให้อินเดียต้องตกเป็นประเทศราชของ
ตะวันตกในเวลาต่อมา
ความเสื่อมของจักรวรรดิโมกุล
การแตกแยกของจักรวรรดิโมกุลเริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายรัชสมัยของพระเจ้าโอรังเซบ ซึ่ง
แสดงให้เห็นจากการที่เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ เช่น เบงกอล อวธะ (Awadh) และไฮเดอราบัด
(Hyderabad) สามารถดึงอำนาจจากส่วนกลางมาอยู่ในกำมือตนได้ พร้อมๆกับที่ยังคงมี
ความสัมพันธ์อันดีกับบริษัทอินเดียตะวันออกทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษ ซึ่งตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่
23 หรือกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมาบริษัทจากยุโรปเหล่านี้จะเริ่มมีอำนาจมากขึ้นใน
อินเดีย ทั้งนี้ ความเสื่อมของจักรวรรดิโมกุลมาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่
1. ปัจจัยภายใน ได้แก่ ความเคร่งในศาสนาของโอรังเซบที่ทำให้เกิดความลำเอียงใน
การดูแลคนที่อยู่ภายใต้การปกครอง เห็นได้อย่างชัดเจนคือ พวกราชปุตซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดีและ
เป็นกำลังสำคัญในสมัยพระเจ้าอักบาร์ พระองค์ก็ใช้วิธีบีบบังคับ เช่น การต้องจ่ายภาษีจิสยา
ก่อให้เกิดความไม่พอใจในพวกราชปุตเป็น อย่างมาก รวมไปถึงพวกซิกข์ซึ่งมีปัญหาตั้งแต่สมัย
พระเจ้าจาหันคีร์ แต่โอรังเซบก็ไม่ได้สร้างความสมานฉันท์ระหว่างกันแต่อย่างใด กลับวางพวก
ซิกข์ให้เป็นศัตรูกับอิสลาม ทั้งๆที่จุดมุ่งหมายของศาสนาซิกข์คือ การสร้างความปรองดอง
ระหว่างมุสลิมและฮินดู นอกจากนี้ยังมีพวกมารถะที่โอรังเซบปรามปรามอยู่หลายสิบปีแต่ก็ไม่
ประสบความสำเร็จ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าจักรวรรดิโมกุลได้สร้างศัตรูไว้รอบด้าน อัน
เนื่องมาจากความไม่พยายามเข้าใจในศาสนาและวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองและผู้ใต้ปกครอง
2. ความกว้างใหญ่ไพศาลและความร่ำรวยในแต่ละพื้นที่ เปิดโอกาสให้ข้าหลวงผู้ดูแล
แคว้นแสวงหาอำนาจไว้ในมือ ดังนั้น เมื่ออำนาจส่วนกลางอ่อนแอลง แคว้นที่มีความเข้มแข็ง
เพียงพอก็จะแยกตัวออกไปปกครองตนเอง ทำให้ไม่เกิดความเป็นเอกภาพในจักรวรรดิเหมือน
สมัยต้นราชวงศ์ อีกประการหนึ่งคือ ระบบการปกครองที่จะริบทรัพย์สิน เช่น ที่ดิน คืนเข้าหลวง
ภายหลังที่ขุนนางแต่ละคนเสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีการสืบต่อให้กับทายาท ดังนั้น บรรดาขุนนางจึง
ไม่มีความรู้สึกจงรักภักดีหรือมีความผูกพันกับราชวงศ์
3. การทำสงครามตลอดรัชกาลของกษัตริย์ในยุคหลังๆ โดยเฉพาะโอรังเซบ ทำให้ต้อง
เสียทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก เมื่อเงินในท้องพระคลังร่อยหลอจึงเกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่
กล่าวคือ มีการเก็บภาษีกับเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น ทำให้ฐานะของเกษตรกรที่ลำบากอยู่แล้ว ยิ่ง
ลำบากมากขึ้นไปอีก ก่อให้เกิดการกบฏของชาวนาครั้งแล้วครั้งเล่า เช่น การกบฏของชาวนา
ชาฎ หรือการกบฏของเหล่าช่างฝีมือสัตนะมี เมื่อชนชั้นการผลิตเป็นผู้ก่อกบฏทำให้การ
เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการค้าได้รับผลกระทบจนเกิดความชะงักงันจนทำให้เกิดสภาวะ
ทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงในประเทศ