Page 194 - 006
P. 194

183


                   เจ้าอักบาร์ จนในที่สุดพระองค์ก็สามารถควบคุมดินแดนทางภาคเหนือได้เป็นผลสำเร็จในปีพ.ศ.

                   2221
                          เมื่อประสบความสำเร็จในการขยายดินแดนทางภาคเหนือแล้ว พระองค์จึงเริ่มให้ความ
                   สนใจกับพนที่ทางภาคใต้ จนสามารถแผ่ขยายอำนาจไปได้กว้างขวางจนถึงอินเดียใต้ไกลและ
                            ื้
                   ดินแดนของพวกมารถะ โอรังเซบใช้เวลากว่า 25 ปีในการปราบปรามพวกมารถะแต่ก็ไม่ประสบ
                   ความสำเร็จ ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการทำสงครามไปเป็นจำนวนมาก อาจกล่าวได้ว่า ในการทำ

                   สงครามกับพวกมารถะนับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราชวงศ์โมกุลอ่อนแอลงนอกเหนือจากปัจจัย
                   อื่นๆดังจะกล่าวถึงต่อไป
                          โอรังเซบมีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องศาสนาเช่นเดียวกับชาห์ จาฮานผู้เป็นพระบิดากล่าวคือ

                                                                                                     ื่
                   อาณาจักรโมกุลจะต้องเป็นรัฐมุสลิมที่ปกครองโดยใช้ชะรีอะฮ์ ซึ่งเป็นกฎหมายของอิสลาม เพอ
                   ประโยชน์ของประชาคมชาวมุสลิมในอินเดีย ดังนั้นจึงทรงกดขี่คนนอกศาสนา โดยเฉพาะชาว

                   ฮินดู ทรงขับไล่พวกขุนนาง ข้าราชการ และศิลปินที่เป็นชาวฮินดูออกจากราชสำนัก พร้อมๆกัน
                   นั้นก็ทรงรื้อฟนการเก็บภาษีจิสยา (Jizya) หรือเซซิยา (Zeziya) ซึ่งเป็นภาษีที่เรียกเก็บจาก
                               ื้
                   บุคคลที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม พระราชกฤษฎีกาของพระองค์ที่ออกมาในพ.ศ. 2212 (ค.ศ.

                   1669) ได้ออกคำสั่งให้ศาสนสถานที่ไม่อยู่ในชะรีอะฮ์ (หรือไม่ใช่ของศาสนาอิสลามนั่นเอง) ที่เพิ่ง
                                                         27
                   สร้างหรือกำลังซ่อมแซมต้องโดนทำลายทิ้ง  พระองค์ยังทรงขยายการศึกษาศาสนาอิสลามให้
                   แพร่หลาย นักวิชาการและนักศึกษาเริ่มเข้ามามีบทบาทและได้รับการอุปถัมภ์จากพระองค์ มี
                                                                                            28
                   การตั้งหลักสูตรการศึกษาของมุสลิม สร้างโรงเรียนพร้อมกับตำราเรียนตามหลักสูตร
                          ในขณะที่ในเรื่องเศรษฐกิจของจักรวรรดินั้นรายได้ที่สำคัญมาจากภาษีซึ่งประกอบไป

                   ด้วยภาษีจากผลผลิตทางการเกษตรและภาษีจากการค้าขาย ส่วนการค้าขายกับต่างประเทศใน
                   ยุคนี้มีการเติบโตมากขึ้นจากการที่มีชนชาติต่างๆเข้ามาสลับสับเปลี่ยนกับโปรตุเกสที่เริ่มหมด

                   อำนาจลง โดยบริษัทที่มีอำนาจมากที่สุดในยุคนี้คือบริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์
                   หรือ VOC และบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ซึ่งบริษัทอินเดียตะวันออกเหล่านี้เป็นผู้
                   ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในราชวงศ์โมกุลไปยังยุโรป เช่น คราม (indigo) อันเป็นสินค้าออกที่

                                                                         29
                   สำคัญมากเนื่องจากมีราคาย่อมเยากว่าเมื่อเทียบกับต้นโวด  (woad) หรือเส้นไหมดิบที่ถูก
                   นำไปใช้ในอุตสาหกรรมการทอผ้าไหมในอิตาลีและฝรั่งเศส รวมไปถึงดินประสิว (saltpeter) ที่

                   ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตอาวุธในยุโรป อีกทั้งยังนำมาเป็นเครื่องถ่วงเรือเมื่อเดินทางกลับยุโรป
                   อีกด้วย
                         30









                          27  Sri Ram Sharma. (1962). The Religious Policy of the Mughal Emperors. London: Asia Publishing House,
                   pp. 130-131.
                          28  จันทรา บูรณฤกษ์. (2521). อิทธิพลวัฒนธรรมอิสลามในอินเดีย. กรุงเทพฯ: คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
                   หน้า 241.
                          29  ต้นโวด (woad) เป็นต้นไม้ในยุโรปนำเอาใบมาสกัดเป็นสีน้ำเงินได้
                          30  Richards, J.F. The Mughal Empire, The New Cambridge History of India, pp. 196-197.
   189   190   191   192   193   194   195   196   197   198   199