Page 34 - 025
P. 34

34







                                                                                      ั
                                                                                                ั
                       สอนศาสนาที่ขึ้นชื่อ ดังที่ได้ระบุไว้ในประวัติศาสนา เช่น เชคดาวูด บินอบดุลลอฮ์ อล-ฟะฏอนี
                                                                                    ิ
                       และเชคมูฮัมมัดเซน อล-ฟะฏอนี ซึ่งได้เขียนต าราวิชาศาสนาและเป็นผู้รเรมแปลต าราศาสนาเป็น
                                          ั
                                                                                      ิ่
                       ภาษามลายูอักษรยาวี
                               ิ
                              อมรอน มะลูลีม  (2538  :  37)  ได้อธิบายถึงลักษณะของปอเนาะไว้ว่า ปอเนาะจะ
                       ประกอบด้วยกระท่อมจ านวนหนึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยของนักเรยน ซึ่งจะพักอยู่ที่นั้นเป็นเวลานาน
                                                                            ี
                                                                                  ื
                       ปอเนาะส่วนใหญอยู่ในชนบท ที่ดินที่ใช้ปลูกกระท่อมเป็นของครหรออาจเป็นที่ดินที่คนบรจาค
                                      ่
                                                                                                      ิ
                                                                                ู
                                                                 ี
                               ี
                                                         ู
                                                                                      ื
                       โดยนักเรยนไม่ต้องเสียค่าเช่า อาคารที่ครใช้สอนเรยกว่า “บาลัยเซาะฮ์” หรอ “บาลัย” มักจะอยู่ติด
                                                       ู
                       กับบ้านของคร ตัวครเรยกว่า “โต๊ะคร” ท าการสอนโดยไม่รบเงินเดือน จึงต้องท างานอย่างอนด้วย
                                   ู
                                                                          ั
                                         ู
                                                                                                    ื่
                                          ี
                                         ื
                                     ่
                                                ื่
                                                                                  ี
                                                                          ู
                       เช่น ท านา ท าไร หรออาชีพอนๆ ความสัมพันธ์ระหว่างครกับนักเรยนเป็นเหมือนบิดากับบุตร
                       นักเรียนส่วนใหญ่ที่มาศึกษาอายุระหว่าง 15-25 ปี ซึ่งมีทั้งโสดและแต่งงานแล้ว
                                                                                    ั
                              ความเปลี่ยนแปลงของปอเนาะเรมต้นขึ้นในปี พ.ศ.2441  โดยรฐมีนโยบายที่ต้องการให้
                                                          ิ่
                                                                         ้
                                                  ่
                       ประชาชนชาวไทยสามารถอานออกเขียนได้ และสรางความมั่นคงให้กับประเทศ โดย
                       พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราโชบายขยายการศึกษาสู่หัวเมือง แต่การ
                                                                    ็
                       ด าเนินการจัดการศึกษาดังกล่าวไม่ประสบความส าเรจในมณฑลปัตตานี เนื่องจากประชากรส่วน
                                                 ี
                           ่
                       ใหญเป็นมุสลิม ในขณะที่โรงเรยนที่จัดตั้งขึ้นอยู่ที่วัดทั้งสิ้น และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาก็
                       เป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ท าให้ประชาชนรสึกไม่ดีต่อการจัดการศึกษาของทางราชการ และ
                                                               ู้
                                                                  ่
                       แหล่งการจัดการศึกษาของมุสลิม คือ ปอเนาะ สุเหรา ตลอดจนบ้านผู้รต่างๆ (วินิจ สังขรตน์, 2544:
                                                                                  ู้
                                                                                                 ั
                       61)
                                                                                          ี
                                               ิ่
                              ในปี พ.ศ.  2453  เรมมีการสนับสนุนให้จัดการสอนภาษาไทยในโรงเรยนมลายู ซึ่งมีการ
                                                                                                  ั
                       สอนตามสุเหร่าต่างๆ และรวมถึงปอเนาะด้วย ซึ่งปกติใช้ภาษามลายูในการสอน โดยทางรฐบาลส่ง
                                                                                                ี
                       ครูไปสอน แต่เนื่องจากครูที่ไปสอนนั้นเป็นคนที่นับถือศาสนาพุทธ เพราะคนมุสลิมที่เรยนหนังสือ
                                          ู
                                                                ้
                       พอที่จะสามารถเป็นครได้นั้นคงจะยังไม่มี จึงสรางความไม่พอใจให้กับผู้ปกครองของนักเรยน ท า
                                                                                                    ี
                       ให้นโยบายดังกล่าวไม่ประสบความส าเร็จในที่สุด โดยในปี พ.ศ. 2455 มีโรงเรียนมลายูตามสุเหราที่
                                                                                                       ่

                                                                                        ี
                       จัดสอนภาษาไทยเพียง  3  แห่ง เท่านั้น คือ โรงเรยนอาเภอโต๊ะโมะ โรงเรยนอาเภอยะรง และ

                                                                   ี
                                                                                                    ั
                                                          ์
                       โรงเรียนบางนรา (นภดล โรจนอุดมศาสตร, 2523 :43)
                                                                      ั
                              ในปี พ.ศ.  2461  ได้มีการตราพระราชบัญญติโรงเรยนราษฎรขึ้น เพื่อใช้ควบคุมดูแล
                                                                             ี
                                                                                     ์
                            ี
                                     ์
                       โรงเรยนราษฎรทั่วพระราชอาณาจักร เพราะเดิมโรงเรยนบุคคลหรอโรงเรยนเชลยศักดิ์มีการ
                                                                       ี
                                                                                  ื
                                                                                         ี
                                                                             ั
                                           ิ
                       ด าเนินการสอนที่เป็นอสระ อยู่นอกเหนือจากการควบคุมของรฐ ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระ
                       มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในระบอบการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน
                                      ี
                                               ์
                                                                            ั่
                       ต่างประเทศ โรงเรยนราษฎรในขณะนั้นเป็นโรงเรยนจีนและฝรง ซึ่งอาจกระทบกระเทือนต่อความ
                                                                 ี
   29   30   31   32   33   34   35   36   37   38   39