Page 79 - การศึกษาวิเคราะห์หนังสืออะกีดะฮฺ อันนาญีน ฟี อิลมฺ อุศูล อัดดีน ของชัยคฺ ซัยนฺ อัลอาบิดีน เบ็น มุฮัมมัด อัลฟะฏอนีย์
P. 79

57







                              2.1.6   อะกีดะฮ์ที่ตรงข้ามกับสะลัฟ
                                     อะกีดะฮ์ที่ตรงข้ามกับสะลัฟในที่นี้ หมายถึง อะกีดะฮ์ที่แตกต่างกับอะกีดะฮ์เตาฮีด

                       อีมาน และวะลาอ์วะบะรออ์ของเราะสูลุลลอฮ์ เศาะฮาบะฮ์ ตาบิอีน ตาบิอฺตาบิอีน และอัตบาอฺ ตาบิอฺ
                       ตาบิอีน คือ ชีอะฮ์  เคาะวาริจญ์  เกาะดะริยะฮ์  ญะฮฺมียะฮ และมุอฺตะซิละฮ์
                                                                       ์
                                     2.1.6.1   ชีอะฮ์
                                                                                1
                                     ชีอะฮ์ คือ กลุ่ม ผู้ให้การสนับสนุนกับท่านอะลีย์   และเชื่อว่า การเป็นผู้นํา
                       (อิมามะฮ์) และคิลาฟะฮ์ของท่านอะลีย์ เป็นไปด้วยหลักฐานและคําสั่งเสียทั้งที่ เปิดเผยและไม่เปิดเผย

                       และการเป็นผู้นําจะต้องไม่ หลุดออกไป จากลูกหลานของท่าน แท้จริงการเป็นผู้นําคือ รุก่นของ
                       ศาสนาที่ไม่อนุญาตให้ท่านเราะสูลุลลอฮ์     ละเลย เพิกเฉย  หรือมอบหน้าที่ นี้ให้กับคนทั่วไป

                       (al-Shahrastāniy, 1976 : 1/146 ; al-Shātibiy, 2008 : 3/350).
                                     การเป็นผู้นําและการสืบตําแหน่งผู้ปกครองเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุดในหลักการของชีอะ ฮ์
                       และถือเป็นขอบเขตที่แยกกันระหว่างพวกชีอะฮ์กับพวกอื่นที่มิใช่เป็นชีอะฮ์

                         สิ่งสําคัญที่เกี่ยวข้องกับการเป็นผู้นํา (อิมามะ    ฮ์) และการสืบตําแหน่งผู้ปกครอง
                       (คิลาฟะฮ์) มี  4  เรื่องได้แก่ คือ


                                     1)  อัตตะอฺยีน วะ อัตตันศีศ (al-Ta„yīn wa al-Tansīs).
                                     อัตตะอฺยีน วะ อัตตันศีศ หมายถึง  การเจาะจงและการกําหนดที่ชัดเจน กลุ่มชีอะฮ ์
                       เชื่อว่าการเป็นผู้นํามิใช่เป็นประเด็นป๎ญหาผลประโยชน์ที่ต้องพึ่งพิงกับการเลือกตั้งทั่วไปแล้วยกขึ้นมา

                       เป็นผู้นํา (อิมาม) แต่เป็นประเด็นป๎ญหามูลฐาน คือ เป็นรุก่นศาสนา (รากฐานศาสนา) ที่ไม่อนุญาตให้

                       ท่านเราะสูลุลลอฮ์   ละเลยหรือเพิกเฉยหรือมอบหน้าที่ให้กับคนทั่วไปทําแทน ฉะนั้นท่านจะต้อง
                       กําหนดและเจาะจงโดยวิธีเปิดเผยหรือไม่เปิดเผย („Abd al-Latīf bin „Abd al-Rahmān, 1989 : 100)

                                     2)  อัลอิศมะฮ์ (al-Ἰsmah)

                                     อัลอิศมะฮ์ หมายถึง การ สภาพบริสุทธิ์จากการกระทําบาปต่างๆ กลุ่มชีอะ ฮ์เชื่อว่า
                       บรรดาอิมามเหมือนกับบรรดานะบีทั้งหลาย คือ พวกเขามีความบริสุทธิ์จากการกระทําบาปต่าง ๆ ใน

                       ชีวิตทั้งบาปเล็กและบาปใหญ่ จะไม่มีการละเมิด การผิดพลาดและการหลงลืมขึ้นกับพวกเขา
                       (Ἀhmad Ἀmīn, 1956: 3/246).

                                     3)  อัลมะฮฺดีย์ วะ อัรรุญอะฮ์ (al-Mahdiy wa al-Ruj„ah).

                                     อัลมะฮฺดีย์ วะอัรรุญอะ ฮ์  หมายถึง การฟื้นชีพของอัลมะฮฺดีย์ กลุ่มชีอะ ฮ์เชื่อว่า
                       อัลมะฮฺดีย์ คือ อิมามที่ถูกรอคอย ซึ่งจะกลับมาให้ความยุติธรรมกับโลกนี้ ผู้ที่กล่าว ถึงเรื่องการฟื้นชีพ







                       1
                        ท่านมีชื่อเต็มว่า อะมีรุลมุอ์มินีน อะลีย์  เบ็น อะบี ฏอลิบ เบ็น อับดุลมุฏเฏาะลิบ เบ็น ฮาชิม เบ็น อับดุ มะนาฟ เป็นเคาะลีฟะฮ์คนที่สี่
                        ของอัลคุละฟาอ์ อัรรอชิดีน เสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 40 (Ἰbn Sa„ad, 1990 : 6/91).
   74   75   76   77   78   79   80   81   82   83   84