Page 28 - 033
P. 28
5
ุ
ี
ึ
ี
็
ึ
เปนกลไกสําคัญประการหนงในการพัฒนาคณภาพการศึกษาของสถานศกษาทผู้เกยวข้องสามารถ
ุ
ึ
ี
ตรวจสอบได้และถูกกําหนดให้สถานศกษาทกแหงต้องดําเนนการตามทกําหนดไว้ใน
่
ิ
่
ึ
พระราชบัญญัตการศกษาแหงชาตและประกาศกฎกระทรวง (สํานักทดสอบทางการศกษา
ิ
ิ
ึ
ื
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขันพนฐาน 2554ก : 185)
ึ
โรงเรยนเอกชนสอนศาสนาอสลามซงเปนสถาบันการศกษาอกประเภทหนงท ี
ึ
ิ
ี
ี
ึ
็
ึ
ุ
ิ
ผู้ปกครองนยมสงบตรหลานเข้าศกษาโดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะมผู้นับศาสนา
ี
่
ิ
ี
ี
ุ
ึ
่
อิสลามเปนจํานวนมาก ซงการสงบตรหลานได้เข้าเรยนโรงเรยนเอกชนสอนศาสนาอสลามนันจะ
็
ี
ั
่
ได้เรยนวิชาศาสนาควบคูไปกับวิชาสามัญ ถึงอย่างไรก็ตามโรงเรยนเอกชนสอนศาสนายังมปญหา
ี
ี
ิ
เกยวกับคณภาพการศึกษา จากการวิจัยของนเลาะ แวอุเซ็ง และคณะ (2550 : 198-199 อ้างถึงใน จาร ุ
ี
ุ
ี
ึ
วัจน์ สองเมือง และคณะ, 2552 : 4) ได้ข้อค้นพบเกยวกับปญหาด้านการบรหารวิชาการสําคัญๆ ซง
ั
ิ
ั
สรปได้ว่า โรงเรยนสวนใหญประสบปญหาเทคโนโลยีและสอการเรยนการสอน หรอแหล่งเรยนรท ี
ุ
ี
ี
่
้
ู
ี
ื
ื
่
ู
้
มความจําเปนตอการเรยนรของผู้เรยนปญหาการขาดแคลนแหลงการเรยนรอาจบรรเทาได้ด้วย
ั
ู
ี
้
็
่
ี
ี
่
ี
ี
ี
ื
่
ั
่
ปญหาการขาดแคลนแหลงเรยนอาจบรรเทาได้ด้วยความรวมมอของสถาบันอดมศกษาทอยู่ใกล้
ึ
ุ
ู
ึ
ั
้
ู
ื
่
สถานศึกษา ปญหาอีกประการหนงคอ ครผู้สอนขาดความร ความเข้าใจ ไม่ว่าจะเปนปญหาสงเสรม
ิ
็
ั
ู
ู
ู
ี
้
ั
ุ
ี
ุ
ี
และสนับสนนให้ครและผู้เรยนได้ใช้แหล่งเรยนรนอกโรงเรยน ปญหาการสนับสนนให้ครทําวิจัย
ื
ื
ั
ี
เพอแก้ปญหาการเรยนการสอนและนําผลการวิจัยมาใช้เพอพัฒนาการสอน และปญหาการ
ั
ุ
ู
ู
ุ
ื
สนับสนนให้ครผลิต พัฒนาและใช้สอและเทคโนโลยี และปญหาสนับสนนให้ครนําผลการวิจัยมา
ั
ี
ุ
ี
่
ใช้เพื อพัฒนาการสอน ซงในสวนนโรงเรยนต้องวางแผนในการพัฒนาบคลากรของสถานศึกษาของ
ึ
ั
ั
ุ
ั
ี
ตนเองเพื อแก้ปญหาดังกล่าว สําหรบข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ปญหาทได้จากการวิจัย ได้ระบถึง
ี
ื
ี
ื
ั
ี
ข้อเสนอแนะทสอดคล้องกับปญหาดังกล่าวคอโรงเรยนควรมการพัฒนาสอให้ทันสมัย สอดคล้อง
้
ี
กับความต้องการของหลักสตร สามารถนําผู้เรยนให้บรรลุเปาหมายทางการศึกษาทตังไว้ ควรจัดให้
ู
ี
ิ
ี
มีการอบรมเกยวกับการเรยนการสอนเพื อพัฒนารปแบบการจัดกจกรรมการเรยนการสอนในด้าน
ี
ู
ี
ี
่
ู
ุ
่
็
ี
ตางๆ แกครและบคลากรทเกยวข้อง ในการจัดการเรยนการสอนควรเน้นให้ผู้เรยนเปนศูนย์กลาง
ี
ี
ุ
ื
ึ
โดยยึดความต้องการของผู้เรยนเปนหลักซงยังสอดคล้องกับงานวิจัยของจารวัจน์ สองเมอง (2552)
ี
็
ุ
ี
่
พบว่าการดําเนนงานประกันคณภาพภายในของโรงเรยนมการดําเนนงาน 3 สวน คอ การควบคม
ิ
ิ
ุ
ื
ี
ุ
คณภาพ การตรวจสอบคณภาพ และการประเมนคณภาพ แตกตางกัน โดยบทบาทของผู้เกยวข้อง
ี
ุ
ิ
่
ุ
ิ
็
่
ิ
ื
ั
แบงออกเปน 4 กลม คอ ผู้บรหารระดับสง ผู้บรหารระดับรอง ผู้รบผิดชอบงานประกัน และ
ู
ุ่
ี
บคลากรฝายอนๆ ซงมความเข้าใจและมสวนรวมในการทํางานด้านประกันคณภาพตางกัน และ
ื
ึ
ี
่
่
ุ
ุ
่
่
ุ
ิ
ปญหาจากการดําเนนงานทสําคัญคอ ระบบการประกันคณภาพยังไมคลอบคลมมตการดําเนนการ
ิ
ิ
่
ี
ุ
ื
ิ
ั
ของโรงเรยน บางตัวบงชไม่สอดคล้องกับภารกจของโรงเรยน การขาดความรวมมอของทกฝายใน
ี
ี
ิ
ื
่
ุ
่
่
ี

