Page 44 - 030
P. 44
44
เรองน้ช้ให้เหนว่าการแตงงานกับอดตภรยาของบตรบญธรรมไม่ได้เปนส่งต้องห้าม
ุ
ิ
็
ุ
ิ
ี
็
่
ื่
ี
ี
ี่
ในอิสลาม และประการทสองคอ การเปนบตรบญธรรมสามารถรบมรดกซงกันและกันได้ในสมัยนั้น
ึ
ุ
ุ
ั
ื
็
่
ุ
ี
ุ
ั
ุ
ุ
ุ
เชน พ่อบญธรรมได้เสยชวิต บตรบญธรรมจะได้รบมรดกเหมือนกับบตรแท้ๆ และถ้าหากว่าบตรบญ
ุ
่
ี
ี
ธรรมได้เสยชวิตพ่อบญธรรมก็จะได้รบมรดกเชนเดยวกัน แตอิสลามได้มายกเลิกประเพณปฏิบัตน้ ี
ุ
ี
่
่
ั
ี
ิ
ี
เชนเดยวกัน
ี
่
3. การเปล่งวาจาสาบานซงกันและกันก็เปนสาเหตหนงในการรบมรดกของกันและกัน
็
ึ
่
ุ
่
ึ
ั
ื
การเปล่งวาจาท าสาบาน คอ การกล่าวค าสาบานของคนสองคนโดยกล่าวว่า
(( ثرأو ينثرتو رص أو ي رصنتو م ه يم هو مد يمد ))
่
ื
ื
ความว่า “เลือดของฉันคอเลือดของทาน การตายของฉัน คอการตายของทาน
่
่
่
่
ทานชวยเหลือฉัน ฉันก็ชวยเหลือทาน และทานรบมรดกจากฉัน ฉันก็รบ
ั
ั
่
่
่
มรดกจากทาน”
็
เมื่อบคคลทั้งสองคนได้กล่าวกันเสรจแล้ว ก็ถือว่าทั้งสองคนนั้นได้ท าการสาบาน
ุ
ื่
ึ
ั
่
ี
ึ
รวมกันแล้ว เมื่อคนหนงคนใดได้เสยชวิตพวกเขาจะถือว่าได้รบมรดกซงกันและกันได้เนองจากการ
่
่
ี
เปล่งวาจาค าสาบานดังกล่าว (Muhammad Yusuf Musa, 1960:23-24)
2.2.4 ประวัติและพัฒนาการของการจัดการมรดกในอิสลาม
ี
่
ี่
ี
ฺ
่
ึ
ี่
ี
สังคมมุสลิมเปนสังคมทมีธรรมนญแหงชวิตเรยกว่า “ชารอะฮ” ซงมีทมาจากอัลกุ
็
ู
ี่
่
ี
็
ฺ
ึ
ิ
ุ
่
รอานและค าสอนของทานเราะสล ซงมุสลิมทกคนมีหน้าทต้องปฏิบัตตาม เพราะชารอะฮเปนทั้ง
ู
ี่
็
กฎหมายทเปนบรรทัดฐานของสังคม ธรรมเนยมปฏิบัต และเปนวิถีประชาส าหรบชาวมุสลิมทใช้เปน
ั
็
ี่
็
ี
ิ
ึ
ี
็
ื
ฺ
ี
หลักในการด าเนนชวิตตั้งแตเกดจนตาย ดังนั้นชารอะฮหรอกฎหมายอิสลามจงเปนกฎหมายทสมบูรณ ์
ี่
ิ
่
ิ
ื
ี่
ั
ั
ทต้องยึดถือปฏิบัตไม่ว่าจะได้รบการรบรองจากภาครฐหรอไม่ก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อใดก็ตามทมีความ
ิ
ี่
ั
ึ
ึ
่
ิ
ี
ุ
ขัดแย้งตางๆเกดข้นในสังคมหรอชมชนของมุสลิมการตัดสนช้ขาดข้อขัดแย้งเหล่านั้นยังต้องค านงถึง
ิ
ื
็
หลักชารอะฮเปนส าคัญ
ี
ฺ