Page 185 - 001
P. 185
174
แก่พระองค์โดยตรง ได้แก่ 1) การคลังและภาษี 2)กองกำลังและข่าวกรอง 3) ยุติธรรมและการ
6
บำรุงศาสนา และ 4) สำนักพระราชวัง นอกจากนี้พระองค์ยังทรงตั้งระบบขุนนางที่เรียกกันว่า
“ระบบแมนสับดาร์” (Mansabdar) ประกอบด้วยขุนนาง 33 ชั้น โดยขุนนางดังกล่าวจะถูก
ื
แบ่งเป็น 3 ระดับด้วยกัน ขุนนางชั้นที่ 1 จะสามารถใช้จ่ายฟมเฟอยและมีอภิสิทธิ์เหนือขุนนาง
ุ่
ชั้นอื่น ทั้งในเรื่องเงินเดือน การถือครองที่ดิน และบรรดาศักดิ์ อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสนใจในเรื่อง
7
ระบบขุนนางอีกประการหนึ่งก็คือ มีข้าราชการเป็นชาวต่างชาติปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น
ชาวเปอร์เซีย ฮินดู และมุสลิม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราชวงศ์โมกุลไม่ได้ใช้ชั้นวรรณะมาแบ่งแยก
อาชีพเหมือนที่ชาวฮินดูเคยทำมาก่อน ดังนั้น แม้แต่ผู้ที่มีวรรณะต่ำสุดยังสามารถเข้ารับราชการ
ได้หากเป็นผู้ที่มีความสามารถ
ข้าราชการสมัยนี้ยังแบ่งเป็น 2 ฝ่ายใหญ่ๆ คือ ฝ่ายปกครองและฝ่ายเก็บภาษี
ข้าราชการฝ่ายปกครองจะอยู่ในระบบทหาร โดยแต่ละคนจะได้รับพระราชทานทหารให้อยู่ใต้
ปกครองตั้งแต่ 10-10,000 คน ตามแต่ละระดับชั้น และไม่มีการสืบทอดทางตระกูล ส่วน
ข้าราชการฝ่ายภาษีก็ทำหน้าที่เก็บภาษีชนิดต่างๆ ข้าราชการทั้ง 2 ฝ่ายจะถ่วงดุลอำนาจซึ่งกัน
และกัน กล่าวคือ ฝ่ายปกครองซึ่งอยู่ในระบบทหารจะไม่ได้คุมการเงินและเสบียง ทำให้ก่อการ
กบฏได้ลำบาก ส่วนฝ่ายภาษีนั้นควบคุมเฉพาะการเงินและเสบียง แต่ไม่มีกำลังทหาร จึงก่อกบฏ
ได้ยากเช่นกัน ด้วยวิธีการนี้ อำนาจของจักรพรรดิจึงมีความโดดเด่น ยากจะหาผู้ใดมาท้าทาย
8
อำนาจได้
ื้
• เศรษฐกิจ การคลัง และการค้า การที่จะสามารถควบคุมดูแลพนที่ขนาดใหญ่รวมถึง
กองทัพได้ดีนั้น จักรวรรดิต้องอาศัยการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจด้านต่างๆให้มีความสมบูรณ์
พร้อม ทั้งนี้ รายได้ที่เข้าสู่จักรวรรดิประกอบไปด้วย
• ภาษีที่ดิน อักบาร์ได้นำระบบการจัดเก็บภาษีที่เชอร์ ชาห์ สุระได้วางรากฐาน
ไว้มาพัฒนาให้มีความเหมาะสมและรัดกุมมากยิ่งขึ้น โดยที่ดินในจักรวรรดิจะถูกสำรวจ วัดและ
แบ่งประเภทใหม่อย่างละเอียดโดยใช้คุณภาพของที่ดินและภาวะการเจริญงอกงามของพืชพนธุ์
ั
ต่างๆเป็นเกณฑ์ รวมไปถึงลักษณะภูมิอากาศ โดยมีการบันทึกเกี่ยวกับราคาของผลิตผลแต่ละตัว
ื้
ื้
ไว้ด้วย การจัดเก็บภาษีจะถูกประเมินจากแต่ละพนที่ หากพนที่ใดทำการเพาะปลูกไม่ได้ผล
เพราะธรรมชาติไม่เอื้ออำนวย ทางรัฐก็จะงดเว้นการเก็บภาษี ซึ่งระบบการจัดเก็บภาษีดังกล่าวมี
9
ข้อดีในระยะยาวและก่อให้เกิดความมั่งคั่งแก่ราชวงศ์โมกุล
ในขณะที่ฐานะของซามินทาร์ (Zamindar) หรือเจ้าผู้ครองที่ดิน (landlord) ในสมัย
สุลต่านแห่งเดลีเปลี่ยนไปในสมัยนี้ อักบาร์ปล่อยให้คนกลุ่มนี้เป็นอิสระ ซามินทาร์บางส่วนได้
กลายเป็นคนของขุนนาง ต่อมาจึงค่อยๆก่อร่างกลายเป็นพวกชนชั้นสูง อักบาร์ยังยินยอมให้คน
6 Richards, J.F. (1993). The Mughal Empire, The New Cambridge History of India. Cambridge: Cambridge
University Press, p. 58.
7 Burjor Avari. Islamic Civilization in South Asia, pp. 107-108.
8 สาวิตรี เจริญพงศ์. ภารตารยะ อารยธรรมอินเดียตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงหลังได้รับเอกราช, หน้า 172.
9 Burjor Avari. Islamic Civilization in South Asia, p. 109.