Page 63 - 006
P. 63

52





                          2. ทางด้านสังคม ระบบวรรณะได้ถูกดึงเข้ามาเป็นหลักทางศาสนา ในระยะที่ศาสนา

                   พราหมณ์รุ่งเรืองแล้ว สังคมอินเดียมีการแบ่งชั้นวรรณะกันหนาแน่นมากขึ้น มีการกำหนด

                   กฎเกณฑ์ระหว่างวรรณะมากขึ้น เช่น การห้ามแต่งงานระหว่างวรรณะ อาชีพบางอย่างก็สงวน
                                                     ์
                   ไว้เฉพาะบางวรรณะเท่านั้น กฎเกณฑดังกล่าวนี้ ถ้าใครฝ่าฝืนอาจได้รับโทษหนักเบาแล้วแต่
                   กรณี การกำหนดวรรณะที่เข้มงวดมากนี้ ย่อมสร้างความไม่พอใจให้แก่คนบางกลุ่มที่มีความคิด

                   ที่จะเป็นอิสระ และยังเป็นผลเสีย ที่ก่อให้เกิดการขาดความสามัคคี อันเป็นจุดอ่อนประการ

                   หนึ่งในประวัติศาสตร์อินเดีย เมื่อมีศัตรูต่างชาติมารุกรานในระยะต่อมา


                          3. ทางด้านการเมือง พวกพราหมณ์มีบทบาทมาก และพยายามแสวงหาอำนาจมากขึ้น
                   จนเกือบจะสูงสุดและเหนือกว่ากษัตริย์ด้วย ทั้งนี้เพราะว่ากษัตริย์มีความจำเป็นต้องพึ่งพาพวก

                   พราหมณ์อยู่เสมอ ในการออกทำสงครามก็ต้องคอยให้พราหมณ์ทำพิธีอวยพรสรรเสริญ ดังนั้น
                                                              ึ่
                   ในทางการเมือง พราหมณ์จึงดูประหนึ่งเป็นที่พงของกษัตริย์ พวกพราหมณ์ถือว่าตนมีสิทธิ
                   พเศษและเป็นชนชั้นสูงในสังคม ดังนั้นจึงก่อให้เกิดความไม่พอใจให้กับพวกที่อยู่ในวรรณะอื่น
                    ิ
                                                                                      ื่
                   จากความไม่พอใจนี้เองที่ทำให้มีผู้ริเริ่มก่อหลักปรัชญาใหม่ๆขึ้นมากมาย เพอจะปฏิรูปสังคม
                   ศาสนาให้ดีขึ้น

                                                                                               ิ
                          ความเสื่อมของศาสนาพราหมณ์เกิดขึ้นจากความเอือมระอาของประชาชนในพธีรีตองที่
                                                                                              ิ
                   มากจนเกินไป ระบบวรรณะมีความเข้มงวดขึ้น พวกพราหมณ์มีบทบาทในศาสนพธี การทำ
                                      ิ
                   พธีกรรมกลายเป็นพธีที่ยุ่งยากและสลับซับซ้อน รวมถึงต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างมาก นักบวช
                    ิ
                                                                   ิ
                   พราหมณ์กลายเป็นผู้มีฐานะร่ำรวย เนื่องจากต้องทำพธีกรรมให้กับประชาชนหลายอย่าง เป็น
                   ต้นว่า พิธีเกิด พิธีโกนจุก หรือพิธีบูชายัญเพื่อขอบุตรชาย

                          ระบบวรรณะที่เข้มข้นขึ้น มีส่วนสำคัญต่อความนึกคิดของผู้คนในสังคม บุคคลในวรรณะ
                   ต่ำหรือศูทร หรือจัณฑาลกลายเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับการนับถือและต่ำต้อยเป็นอย่างมากในสังคม

                   พวกวรรณะต่ำจึงไม่ชอบวรรณะสูง ส่วนบุคคลในวรรณะกษัตริย์และวรรณะแพศย์ก็ไม่พอใจใน

                   ความยิ่งใหญ่ของพวกพราหมณ์ แม้ว่าบุคคลในวรรณะกษัตริย์และวรรณะแพศย์ต่างมีกำลัง

                   กองทัพและทรัพย์สินมากกว่าพวกพราหมณ์ แต่กลับได้รับการยอมรับจากสังคมน้อยกว่า จาก
                   ความไม่พอใจนี้เอง ทำให้มีผู้ริเริ่มก่อหลักปรัชญาใหม่ๆขึ้นมากมาย เพื่อจะปฏิรูปสังคมศาสนาให้

                   ดีขึ้น ในบรรดาปรัชญาและความคิดใหม่ๆที่เกิดขึ้น มีเพียง 2 หลักศาสนาเท่านั้นที่มีความสำคัญ

                   ในสมัยต่อมา คือศาสนาเชน (Jainism) และศาสนาพุทธ (Buddhism) ซึ่งผู้ริเริ่มทั้งสองคือ พระ

                   มหาวีระ และพระสิทธัตถะ ซึ่งต่างก็เป็นผู้ที่อยู่ในวรรณะกษัตริย์ทั้งสิ้น


                   ศาสนาเชน
                          ศาสนาเชนเป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดศาสนาหนึ่ง อุบัติขึ้นในอินเดียในระยะเวลาเดียวกัน
                   และในอาณาบริเวณเดียวกันกับพทธศาสนา และแม้จะเคยเบ่งบานรัศมีของตนแข่งกับศาสนา
                                                 ุ
   58   59   60   61   62   63   64   65   66   67   68